เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นายเจษฎา เก่งรุ่งเรืองชัย กรรมการบริษัท เจ แอนด์ บี เมททอล จำกัด ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกครั้งที่ 2 และได้เปิดเผยว่า ตนเองมีการทำสัญญาเพื่อซื้อแร่สังกะสี แต่ว่ามีกากแร่แคดเมียมปะปนเข้ามา ส่วนที่ซื้อมานั้นเพราะโรงงานต้นทางที่ถลุงแร่ในครั้งนั้นมีการฝังกลบและโรยปูนขาวและปูนปอร์ตแลนด์ลงไปทำให้ปริมาณความเข้มข้นของกากแร่แคดเมียมนั้นลดลง จึงสามารถซื้อขายได้ และกากแร่ที่ตนครอบครองมีทั้งหมด 13,800 ตัน และมีกากแร่แคดเมียมผสมอยู่เพียง 38% เท่านั้น จากการที่กรมวิทยาศาสตร์นำแร่ในโรงงานไปเทสต์ อีกทั้ง พบว่าแคดเมียมไม่ใช่แคดเมียมบริสุทธิ์ เป็นเพียงกากแร่แคดเมียมผสมเท่านั้น ซึ่งยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ เพราะเมื่อเทียบกับปริมาณที่จะส่งผลอันตรายต่อมนุษย์นั้นต้องสูงถึง 100-150 % และตั้งแต่มีข่าวปรากฏสื่อหลายสำนักมีการนำเสนอทำให้เกิดความเข้าใจผิดถึงโทษและพิษภัยของกากแคดเมียมที่รุนแรงเกินความเป็นจริง ซึ่งประเด็นนั้นทำให้ตนเองเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ส่วนที่คนในโรงงานและคนรอบโรงงานออกมาบอกว่าได้รับผลกระทบต่อสุขภาพ นายเจษฎา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ต้องไปตรวจสอบโรงงานรอบๆ ด้วย และการที่ตนได้กากแร่แคดเมียมดังกล่าวมานั้นมาจากการประมูล ที่มีโรงงานอื่นร่วมประมูลด้วยอีก 4 โรงงาน และตนเองประมูลมาได้จำนวน 8 ล้านบาท และตนเองต้องการแร่สังกะสี ที่นำไปขายต่อได้กิโลกรัมละ 300 กว่าบาท แต่ไม่ได้ต้องการแร่แคดเมียมแต่มันผสมมาด้วยอยู่แล้วจึงต้องนำไปคัดแยก

นายเจษฎา กล่าวถึงในส่วนของเรื่องสัญญาที่เซ็นกับบริษัทเบาด์และบียอนด์ ว่าซื้อมาเพื่อนำไปกำจัดแต่เหตุใดถึงมีการนำไปขายต่อว่า ตนเองเป็นพ่อค้า ส่วนที่นำไปขายนั้น เพราะตนเองหมุนเงินไม่ทันจึงต้องนำไปขายบ้าง ส่วนปริมาณที่นำมาตอนแรก 13,800 ตัน แต่พบเพียง 12,000 กว่าตัน ระบุปริมาณทั้งหมดครบหมดแล้ว แต่น้ำหนักมันลดลงเพราะตอนแรกที่นำมามีลักษณะหนักและเปียกแต่เมื่อกากแร่แห้งลงปริมาณจึงลดลง ส่วนที่บอกว่าจะนำไปจำหน่ายต่อที่ สปป.ลาว ตอนนี้กำลังดำเนินเรื่องจากกรมโรงงานอยู่ เพราะทาง สปป.ลาว มีโรงงานที่คัดแยกกากแร่ดังกล่าวอยู่

เบื้องต้นนายเจษฎา ยืนยันว่ากระบวนการทุกอย่างตั้งแต่ต้นทางจังหวัดตาก มาจนถึงจังหวัดสมุทรสาคร นั้นถูกต้องทุกอย่างทั้งเอกสาร และในส่วนที่ต้องกระจายไปยังโกดังอื่น เพราะกากแร่ที่ได้มานั้นมีจำนวนมาก พื้นที่ของตนเองไม่เพียงพอ จึงต้องไปเช่าที่โรงงานอื่นเก็บ ส่วนด้านนายจางได้ให้นายหน้ามาติดต่อตนเองเพื่อขอซื้อต่อ ซึ่งตอนนั้นตนเองต้องขายไปเพราะต้องการนำเงินมาหมุนต่อ ซึ่งยอมรับว่าผิดสัญญาที่ได้มาว่า นำมาเพื่อกำจัดแต่กลับนำไปขาย ส่วนนี้ก็ยอมรับว่า ตนเองผิดจริง นายเจษฎา ยืนยันอีกว่า ตนเองไม่ได้มีใครมาเป็นที่ปรึกษา หรือมีใครมาถือหุ้นในบริษัท และไม่มีนักการเมืองมาเกี่ยวข้องแน่นอน ส่วนทาง กมธ.อุตสาหกรรมตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทปลายทางรับกำจัดแคดเมียม ถูกร้องเรียนเป็นนอมินีทุนจีนหรือไม่ นายเจษฎา ยืนยันว่าไม่ใช่ ตนเองเป็นคนไทย แต่ยอมรับว่ามีการซื้อขายทำธุรกิจกับคนจีนเพียงเท่านั้น อย่างกรณีนี้มีการเตรียมการแร่ส่งออกไปยัง สปป.ลาว และตนเองก็มีการหลอมไปบ้างแล้วแต่ไม่ได้เยอะมาก ซึ่งหากนำไปขายที่ลาวจะขายแพงกว่าที่ขายให้นายจาง จะขายได้ถึง 8.25 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 1.25 บาทต่อกิโลกรัม และตนจะขายเป็นแบบจัมโบ้แบ็ก เพื่อไปให้ทาง สปป.ลาว แยกทองแดง สังกะสี แคดเมียม ซึ่งกากที่ตนต้องการมีเพียงแค่ทองแดง เพราะนำไปขายต่อได้ราคาสูง

นายเจษฎา เชื่อว่า ตนเองถูกกลั่นแกล้งจากคนที่ประมูลไม่ได้ น่าจะมากลั่นแกล้งตนเองหรือไม่ และยังตอบกลับอีกว่า เอกสารทั้งหมดที่ตนดำเนินการมานั้นถูกต้องทั้งหมด แต่ทำไมตนเองถึงถูกบอกว่าเป็นคนผิด และจะเรียกร้องค่าเสียหายและเตรียมที่จะดำเนินคดีกลับด้วยที่ทำให้ตนเองเสียหาย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยว่าจะดำเนินคดีกับใคร นายเจษฎา กล่าวอีกว่า ตนเองรู้สึกถูกหลอกและโดนลอยแพ จากสัญญาที่ทำกับบริษัทต้นทาง ที่ตนเองต้องเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด เหมือนโดนหลอกให้เซ็นสัญญาผูกมัด โดนเอาเปรียบทุกอย่าง ซึ่งตอนแรกตนเองก็สงสัยในประเด็นนี้ แต่เมื่อมองในแง่ของกำไรตนเองได้มากกว่าจึงไม่ได้สนใจอะไร แต่หากถามว่าจะต้องมีคนผิดจริงๆ จะต้องไปที่ต้นทางผู้ก่อกำเนิดว่าถูกต้องหรือไม่

ทั้งนี้ นายเจษฎา บอกว่า กากแร่แคดเมียมไม่ได้อันตรายตามที่สื่อบางสื่อลง และมีความปลอดภัย เพราะกากแร่แคดเมียม มีผสมอยู่ในถ่านรีโมตของทุกบ้าน หรือแบตเตอรี่รถยนต์ ขออย่าไปตกใจ ลองไปเสิร์ช Google ดูได้ว่ากากแร่แคดเมียมไม่ได้อันตรายอย่างที่คิด