ความปราชัยต่อ “ปราสาทเรือนแก้ว” คริสตัล พาเลซ คารังแบบพลิกความคาดหมาย ทำให้การโอกาสการลุ้นแชมป์ของทัพ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ลดน้อยลงอย่างมาก เมื่อดูจากการแข่งขันที่เหลือเพียง 6 เกมเท่านั้น
นอกจากนี้ เครื่องจักรสีแดง ยังตามหลังทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี แชมป์เก่า 2 คะแนน ซึ่งต้องยอมรับว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแซง “เรือใบสีฟ้า” ที่เครื่องกำลังติด กลับขึ้นไปครองจ่าฝูงอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล คงต้องโทษตัวเองที่ไม่สามารถรักษาความได้เปรียบเอาไว้ได้ โดยเฉพาะในเกมแพ้ พาเลซ คาบ้านทั้งที่มีโอกาสลุ้นประตูมากมายถึง 21 ครั้ง แต่กลับส่งลูกหนังเข้าสู่ก้นตาข่ายไม่ได้แม้แต่หนเดียว
สำหรับนักเตะที่ถูกวิจารณ์มากที่สุดจากเกมที่ แอนฟิลด์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นจะหนีไม่พ้น ดาร์วิน นูนเญซ ที่มีโอกาสสับไกหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะจังหวะที่ได้ยืนวอลเลย์เหน่ง ๆ จากระยะเพียง 6 หลา แต่ดันซัดไปติดเซฟของ ดีน เฮนเดอร์สัน อย่างน่าจับมาเขกเข่าสักทีสองที
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ นูนเญซ พลาดการทำประตูจากโอกาสแบบนี้ โดยสถิติเผยว่า หากนับจากตัวจบสกอร์ที่มีโอกาสทองในการทำประตูมากกว่า 20 ครั้งขึ้นไป ผลปรากฎว่า “น้องนุ่น” ครองอันดับ 1 ในฐานะหัวหอกที่เปลี่ยนโอกาสทองให้กลายเป็นไปประตูได้น้อยที่สุดในยุโรป
ฤดูกาลนี้ กองหน้าทีมชาติอุรุกวัย มีโอกาสยิงแบบเหน่ง ๆ มากถึง 31 ครั้ง แต่กลับเปลี่ยนเป็นประตูได้แค่ 6 ตุง พลาดไปถึง 25 ครั้ง โดยคิดเป็นค่าเฉลี่ย 19.4% ซึ่งนับว่า แย่เอามาก ๆ สำหรับนักเตะที่เป็นความหวังในการทำสกอร์ของทีม
นอกจากนี้สถิติของ นูนเญซ ยังทำให้ นิโคลัส แจ็คสัน ของ เชลซี ที่ถูกมองว่า เป็นกองหน้าจอมฝืดไม่แพ้กัน ดูดีขึ้นมาเยอะเลยเพราะ หัวหอกสิงห์สำอางมีค่าเฉลี่ยในการเปลี่ยนโอกาสทองให้เป็นประตูของอยู่ที่ 29.2%
ขณะที่หากนำไปเทียบกับปิศาจร้ายอย่าง เออร์ลิง ฮาลันด์ หัวหอกทีมชาตินอร์เวย์ของ แมนฯ ซิตี ที่มีค่าเฉลี่ยในการเปลี่ยนโอกาสทองให้เป็นประตูสูงถึง 34.8% (16 ประตูจาก 46 ครั้ง) การจบสกอร์ของ นูนเญซ ก็ยิ่งดูแย่ลงไปอีก
กระนั้น แม้จะยังมีปัญหาในการจบสกอร์ แต่โดยรวมแล้วต้องถือว่า นูนเญซ ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญในแนวรุกของ ลิเวอร์พูล เพราะนอกจากจะทำไปแล้ว 18 ประตูจากการลงสนาม 47 นัดรวมทุกรายการ หัวหอกวัย 24 ปี ยังทำแอสซิสต์ได้ถึง 13 ครั้ง
นอกจากนี้ ความเร็ว, ความแข็งแกร่ง, ความดุดัน, ความทุ่มเท และการเคลื่อนที่ได้อย่างชาญฉลาดของเขาก็ยังสร้างปัญหาให้แนวรับคู่แข่งได้ไม่น้อย
ดังนั้นหากปรับเรื่องการจบสกอร์ให้เฉียบขาดขึ้นกว่านี้ได้ ดาร์วิน นูนเญซ ก็จะกลายเป็นกองหน้าที่ครบเครื่องต้มยำ และสามารถจะอัพเลเวลขึ้นไปเป็นดาวยิงระดับเวิลด์คลาสกับเขาได้เสียที.