เมื่อวันที่ 14 ก.พ. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และในฐานะรักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ต.จตุพล บงกศมาศ ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค สั่งการให้ นายชยพล สายทวี ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 125/2566 กรณีกลุ่มบุคคลลักลอบนำเข้าและจำหน่ายสินค้าไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ผ่านช่องทางออนไลน์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำคณะพนักงานสอบสวนสนธิกำลังร่วมกับฝ่ายปกครอง อ.เมืองยะลา เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อุตสาหกรรมจังหวัดยะลา สาธารณสุขอำเภอเมืองยะลา และเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าตรวจค้นโกดังเก็บสินค้าในพื้นที่จังหวัดยะลา เพื่อแสวงหาพยานหลักฐานในการสืบสวน

สืบเนื่องจากศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้พบข้อมูลว่าบริษัท มากี้ช็อป 2017 จำกัด ซึ่งมีที่ตั้งในพื้นที่จังหวัดยะลา มีพฤติการณ์สงสัยว่ามีการนำเข้าและจำหน่ายสินค้าที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และลักลอบจำหน่ายสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีอากร โดยเปิดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นซื้อ – ขายสินค้าออนไลน์ทางเพจ Facebook ชื่อ “MakeeShop” และ Tiktok ชื่อ “Makeeshopofficial” ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก โดยเพจดังกล่าวมีพฤติการณ์ถ่ายทอดสด (live) จำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหลายประเภท ได้แก่ หม้อไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า กระทะปิ้งย่าง พัดลม ฯลฯ ซึ่งสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า อันเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินซึ่งไม่เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกำหนดให้ผู้ประกอบการที่นำเข้าจะต้องขออนุญาตจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเสียก่อนเพื่อรับรองคุณภาพสินค้าว่าเป็นไปตามมาตรฐานและเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคในการที่จะนำไปใช้หรือจำหน่ายต่อและต้องมีเครื่องหมายรับรอง (มอก.) รวมทั้งการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรต้องผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้อง แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้น ไม่พบว่าสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ บริษัท มากี้ช็อป 2017 จำกัด จำหน่าย ได้ขออนุญาตต่อสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแต่อย่างใด และในการถ่ายทอดสดมีการพูดต่อสาธารณะว่าสินค้าที่ขายไม่ผ่านสำนักมาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งมีผู้ที่ซื้อสินค้าจำนวนมากทั่วประเทศจำนวนกว่าแสนชิ้น และจากการตรวจสอบพบว่าประกอบธุรกิจมาเป็นเวลานาน รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 100 ล้านบาท

กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยคณะพนักงานสอบสวน ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ รายงานถึงผลการตรวจค้นเป้าหมาย พบพยานหลักฐาน ดังนี้ 1.บ้านเลขที่ 47/57 หมู่ 7 ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งเป็นที่พักอาศัยและโกดังเก็บสินค้า พบสินค้าซึ่งไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. จำนวน 70 รายการ รวม 1,364 ชิ้น 2.บ้านเลขที่ 63/1 หมู่ 7 ต.สะเตงนอก อ.เมือง จ.ยะลา ซึ่งมีลักษณะเป็นโกดัง ภายในพบว่ามีเครื่องจักรขนาดใหญ่สำหรับผลิตกล่องบรรจุสินค้าส่งจำหน่ายให้กับลูกค้า และบริเวณด้านข้างโกดังพบรถบรรทุกสินค้าซึ่งมีสินค้าอยู่เต็มคันรถเตรียมนำเข้าใส่โกดัง จำนวน 75 รายการ รวม 857 ชิ้น โดยของกลางที่ทำการตรวจยึดได้เป็นยอดขายในแต่ละวัน ซึ่งหากเฉลี่ยแล้วในแต่ละเดือนจะมียอดขายประมาณ 30,000-40,000 ชิ้นต่อเดือน ประกอบพยานเอกสารการสั่งซื้อและขายที่ตรวจยึดได้ในที่เกิดเหตุซึ่งพบว่าได้ประกอบธุรกิจมาเป็นระยะเวลากว่า 4 ปี โดยไม่มีอาชีพอื่นใด

คณะพนักงานสอบสวน ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบุอีกว่า พฤติการณ์และการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุสาหกรรม พ.ศ.2566 มาตรา 48 และมาตรา 48 ทวิ และความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 242 มาตรา 243 และ มาตรา 244 ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในบัญชีท้ายประกาศ กคพ.(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่ง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีท้าย ข้อ 8 และข้อ 13 ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งจะได้เสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป

ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนระบุด้วยว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามข้อสั่งการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รรท.อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการมุ่งคุ้มครองความปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และสุขภาพอนามัยของประชาชนซึ่งเกิดอันตรายจากการใช้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายโดยร่วมปฏิบัติงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการร่วมกันอย่างต่อเนื่องต่อไป.