นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า  ขณะนี้สนพ. และสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ติดตามราคาพลังงานในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด ซึ่งมีทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่า เร็วนี้ๆ ราคาน้ำมันจะแตะที่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 72 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นผลจากความต้องการน้ำมันในตลาดโลกปรับสูงขึ้น ขณะนี้ปริมาณการผลิตมีไม่เพียงพอ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนไอดา และนิโคลัส ทำให้การผลิตหายไปประมาณ 26 ล้านบาร์เรล ซึ่งจะกระทบราคาน้ำมันในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากราคาน้ำมันในประเทศ อ้างอิงราคาน้ำมันตลาดโลก  และแนวโน้มราคาน้ำมันปีหน้าทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ได้คาดการณ์ว่า มีโอกาสแตะที่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

“ การประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซล โดยจะพิจารณาจากดีเซล บี10 เป็นหลักหากเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร ทางใช้กลไกกองทุนฯ เข้าไปดูแล ส่วนราคาน้ำมันดีเซล บี 7 ซึ่งมีผู้ใช้ปริมาณเยอะเช่นกัน ทางกบง.ได้ให้สกนช.มอนิเตอร์เช่นกัน”   

ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ที่ประชุมกบง.ล่าสุดวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมาสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ได้สั่งให้สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พิจารณาที่มาของเงินที่ต้องอุดหนุนเพิ่มเติม รวมทั้งเตรียมพร้อมไว้กรณีที่ราคาน้ำมันกลุ่มดีเซลอาจพุ่งขึ้นในช่วงไตรมาส 4 /64 (ต.ค. – ธ.ค.) ถึงไตรมาส 1/65 (ม.ค. – มี.ค.) ช่วงหน้าหนาว ที่อาจสูงกว่า 30 บาทต่อลิตร จำเป็นต้องใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนฯ โดยต้องกู้เงินมาดูแลหรือไม่ ในวงเงินเท่าใด จะเป็นภาระต่อหนี้สาธารณะมากน้อยเพียงใด โดยที่มาของเงินอุดหนุน ควรมาจากแหล่งใด มาจากเงินกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งต้องขยายเพดานวงเงินอุดหนุนจากขณะนี้กำหนดที่ 18,000 ล้านบาทไปมากน้อยเพียงใด หรือมาจากเงินกู้ของรัฐบาลตาม พ.ร.ก.กู้เงินรวม 1.5 ล้านล้านบาทได้หรือไม่ โดยภาพรวมจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในวันที่ 28 ก.ย.นี้