เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ก.พ. ที่ สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต กทม. นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ พา น.ส.นพรัตน์ อินปรุ อายุ 62 ปี และนายณรงชัย พันธ์สระน้อย อายุ 63 ปี พ่อและแม่ของ น.ส.นภา พันธ์สระน้อย หรือน้องจ๋า อายุ 21 ปี ลูกสาวเพิ่งเรียนจบระดับปริญญาตรี ได้พลัดตกจากตึกชั้น 33 ลงมาติดค้างอยู่ที่กันสาดชั้น 10 เสียชีวิตที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา เข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เพื่อขอให้ช่วยประสานนิติเวช มาเลเซีย ขอผลชันสูตรศพ เนื่องจากทางครอบครัวยังสงสัยสาเหตุการตาย โดยผลชันสูตรรอบ 2 ที่ไทย พบรอยฟกช้ำตามร่างกาย เนื่องจากถูกของแข็งที่ไม่มีคมก่อนเสียชีวิต พร้อมตรวจสอบข้อมูลจากเพื่อนสาวคนสนิทที่ชักชวนน้องจ๋าไปเที่ยวมาเลเซีย เพื่อทำความจริงให้ชัดเจนและให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

นางปวีณา กล่าวว่า สืบเนื่องจาก น.ส.นภา มีเพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่วัยเด็ก ซึ่งปัจจุบันมีแฟนเป็นชาวมาเลเซีย ชักชวนไปเที่ยวที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อประมาณปลาย ธ.ค. 66 และได้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 67 ที่ผ่านมา

โดยเมื่อวันที่ 22 ม.ค. 67 ที่ผ่านมา ตนได้พาครอบครัวของ น.ส.นภา เดินทางไปฟังผลชันสูตรศพที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ โดยพบว่า ตามร่างกายมีแผลถลอกฟกช้ำเป็นรอยครูดทั่วตัวที่คาง ไหล่ ก้น หลัง ต้นแขน และขาหนีบ ซึ่งเกิดจากการถูกของแข็งที่ไม่มีคมก่อนเสียชีวิต อีกทั้งยังพบกระดูกกะโหลกด้านหลังแตก กระดูกต้นขาหัก กระดูกข้อเท้าหัก กระดูกเชิงกรานหัก กระดูกสันหลังหัก ซี่โครงซ้าย-ขวา ด้านหลังหัก อวัยวะทุกส่วนหักหมด นอกจากนี้ ยังได้ตัดชิ้นส่วนตับเพื่อไปตรวจดูสารพิษ และตัดเล็บไปตรวจหาเนื้อเยื่อหรือ DNA และทำการเก็บสารคัดหลังในช่องคลอด ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจจากห้องแล็บ เพื่อทราบผลอย่างละเอียด

ทั้งนี้ แพทย์ผู้ชันสูตรศพ น.ส.นภา ยังรายงานว่า เป็นการผ่าชันสูตรพลิกศพครั้งที่ 2 เนื่องจากมีการผ่าพิสูจน์ครั้งแรกมาจากที่ประเทศมาเลเซีย และมีการฉีดฟอร์มาลินมาแล้ว ส่งผลให้หาเลือดและปัสสาวะไม่ได้ ทำให้มีข้อจำกัดในการตรวจสอบ จึงอยากให้ประสานขอผลการชันสูตรพลิกศพจากนิติเวชมาเลเซีย เพื่อประกอบการพิจารณาหาข้อเท็จจริงในการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของน้องจ๋าให้กระจ่าง

โดย ขณะนี้ทางครอบครัวของ น.ส.นภา ยังเกิดความกังขาในเรื่องรอยช้ำตามร่างกายก่อนเสียชีวิต แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับผลการตรวจพิสูจน์ครั้งแรกที่มาเลเซีย ที่จะนำมาพิจารณาร่วมด้วยว่า สาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงเกิดจากสาเหตุใด

ส่วนประเด็นเพื่อนสนิทของ น.ส.นภา ที่อยู่มาเลเซีย ขณะนี้ได้โทรศัพท์มาหานางปวีณา และได้ส่งมอบโทรศัพท์มือถือของน้องจ๋าให้กับพ่อแม่น้องจ๋าแล้ว หลังจากการสอบสวนที่มาเลเซียเสร็จสิ้น และส่งมอบคืนโทรศัพท์น้องจ๋าแก่เพื่อน โดยได้นำไปมอบให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมให้เบอร์โทรศัพท์และเฟซบุ๊กเพื่อนสนิทน้องจ๋า เพื่อขอข้อมูลประกอบการพิจารณาต่อไป

นางปวีณา เล่าอีกว่า เพื่อนสนิทของน้องจ๋ามีแฟนเป็นชาวมาเลย์ ทำธุรกิจสถานบันเทิง โดยเพื่อนสนิทเล่าว่า ก่อน น.ส.นภา จะเสียชีวิต ผู้ตายได้ไปเที่ยวที่ผับของแฟนเพื่อนสนิทคนดังกล่าว ก่อนที่ลูกค้าของผับจะพา น.ส.นภา มาส่งที่คอนโดฯ จึงให้ น.ส.นภา มาพักที่ห้องชั้น 33 ซึ่งเป็นห้องของเพื่อนสนิท หลังจากนั้นเพื่อนสนิทและแฟนก็ได้ลงมาซื้ออาหารกินด้านล่างตึก ปรากฏว่าไม่นานก็พบว่า น.ส.นภา พลัดตกลงมาจากชั้น 33 เสียชีวิต

ทั้งนี้ เพื่อนสนิทระบุอีกว่า น.ส.นภา มีพฤติกรรมทำร้ายตัวเอง แต่ก็ยังข้อสงสัยว่า บาดแผลฟกช้ำตามร่างกายขนาดนั้น จะเกิดจากการทำร้ายร่างกายตัวเองได้อย่างไร หรือถูกใครทำร้ายร่างกายก่อนเสียชีวิต จึงอยากให้ตำรวจตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดว่ามีพิรุธอะไรอย่างไร

ด้าน น.ส.นพรัตน์ แม่ของผู้ตาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า ขอให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ให้ความเป็นธรรมแก่การเสียชีวิตของลูกของตน โดยตนสงสัยในการเสียชีวิตของลูกสาวอย่างมาก ลูกตนเป็นเด็กดี แต่ก็ไม่ทราบว่า ลูกไปมาเลเซียทำไม แล้วไปเมื่อไหร่ นึกว่าลูกอยู่โคราชมาโดยตลอด ตอนนี้เสียใจอย่างมากจนไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม แต่สัญญาว่าหลังจากนี้จะเข้มแข็งและจะหมั่นทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ลูก

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว นางปวีณาได้ประสานเรื่องกับตนมาเบื้องต้นแล้ว ซึ่งตอนนี้ตนเตรียมจะประสานความร่วมมือไปยังตำรวจมาเลเซีย เพื่อขอผลการชันสูตรพลิกศพจากนิติเวช และผลการสอบสวนของตำรวจประเทศมาเลเซียต่อไป รวมทั้งจะต้องดำเนินการสอบปากคำผู้เสียหายในกรณีนี้ ก็คือพ่อแม่ของผู้ตายอย่างละเอียด อีกทั้งตนได้สั่งการให้ชุดทำงานไปยังประเทศมาเลเซียแล้ว เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้น โดยกรณีนี้จะต้องสืบอย่างชัดเจน หาให้ได้ว่าผู้ตายนั้นเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด ร่องรอยบาดแผลตามร่างกายที่ปรากฏนั้น เกิดขึ้นก่อนหรือหลังการเสียชีวิต และคดีนี้จะเป็นการฆาตกรรมหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ได้โทรศัพท์มือถือของผู้ตายมาแล้ว คาดว่าจะสามารถสืบสวนหาความชัดเจนได้ต่อไป.