เมื่อวันที่ 23 ม.ค. จากกรณีชาวต่างชาติพาสิงโตนั่งรถเบนท์ลีย์เปิดประทุนแล้วขับตระเวนในเขตพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี แล้วมีคนถ่ายคลิปนำไปโพสต์ในโลกออนไลน์จนเป็นกระแสฮือฮาบนโลกออนไลน์ ตามที่มีข่าวเสนอไปแล้วนั้น ล่าสุดเจ้าหน้าที่มีการสนธิกำลังตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจ ตม. ตำรวจป่าไม้ และเจ้าหน้าที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เข้าตรวจสอบ บ้านพักภายในซอยเขาพระตำหนัก 5 หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นบ้านที่มีการเลี้ยงสิงโตและเป็นข่าวโด่งดังในโลกโซเชียล

บ้านหลังดังกล่าวเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นมีรั้วล้อมรอบขอบชิด ในรั้วบ้านพบกรงเลี้ยงสัตว์ 2 กรง กรงแรกมีสิงโต 1 ตัว ส่วนกรงที่สองมีสุนัข 3 ตัว บ้านถูกปิดเงียบ โดยเจ้าหน้าที่มีการกดกริ่งเรียกคนในบ้าน แต่กลับไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้

วิจารณ์แซ่ด! ต่างชาติขับเบนท์ลี่ย์พาสิงโตชมวิวเมืองพัทยา ทำชาวบ้าน-นักท่องเที่ยวผวา

ต่อมานางสาวแอน (นามสมมุติ) อายุ 50 ปี ชาวบ้านซึ่งพักอยู่ในคอนโดฯ ติดกับบ้านหลังดังกล่าว เล่าว่า เห็นชาวต่างชาติผิวสีเลี้ยงสิงโตตัวนี้มานานกว่า 1 เดือน ช่วงเย็นของทุกๆ วัน ชาวต่างชาติผิวสีรายนี้จะพาสิงโตพร้อมกับสุนัขขึ้นรถเบนท์ลีย์แบบเปิดประทุนแล้วพาขับไปตระเวนย่านชายหาดดงตาล-จอมเทียน โดยช่วงแรกไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร พอได้ยินเสียงร้องคำรามออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวบ่อยๆ จึงใช้โทรศัพท์มือถือแอบถ่าย พอซูมเข้าไปใกล้ๆ จึงรู้ว่าเป็นสิงโต ทำให้รู้สึกตกใจมาก และตั้งข้อสงสัยว่า ชาวบ้านทั่วไปสามารถเลี้ยงสิงโตได้หรือไม่ จนกระทั่งมาเป็นข่าวโด่งดังในโลก TikTok ดังกล่าว

ด้านตำรวจ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้นพบว่าสิงโตดังกล่าวถูกลงทะเบียนไว้ในพื้นที่จ.ราชบุรี โดยมีผู้หญิงไทยเป็นเจ้าของ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ในระหว่างการติดต่อให้เดินทางมายังบ้านหลังดังกล่าว เพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสิงโต ส่วนชาวต่างชาติที่ปรากฏในคลิปเบื้องต้นเป็นชาวผิวสี คาดว่า เป็นชาวศรีลังกา ส่วนรถหรูเบนท์ลีย์ จากการตรวจสอบทะเบียนพบว่าเป็นรถเช่ามาจากพื้นที่จ.ภูเก็ต

ต่อมาได้มีทนายของเจ้าของสิงโตได้เดินทางมาพบเจ้าหน้าที่โดยได้แจ้งว่าได้รับมอบอำนาจจากทางเจ้าของสิงโตมาทำการเจรจากับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะเปิดประตูบ้านเข้าไปตรวจตรวจสอบสิงโต โดยพบว่าเป็นลูกสิงโต เพศเมีย อายุประมาณ 4 เดือน ซึ่งทางเจ้าของสิงโตมีการขอนัดหมายเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อแสดงเอกสารการครอบครอง ในวันพรุ่งนี้ (24 ม.ค.) ที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 (ศรีราชา) เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งรอเจ้าของนำเอกสารมาแสดงข้อเท็จจริงต่อไป