เมื่อวันที่ 5 ม.ค. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า จากกรณีเครื่องบินสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ (JAL) เฉี่ยวชนกับเครื่องบินของหน่วยยามชายฝั่งญี่ปุ่น เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้เครื่องบินบนทางวิ่ง (รันเวย์) ณ สนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 67 จึงได้สั่งการให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไปดำเนินการศึกษาข้อมูล และเตรียมมาตรการป้องกันภัย เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ ทอท. มีการบริหารสนามบินทั้ง 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.), ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.), ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.), ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.)

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นทราบว่าทั้ง 6 สนามบิน มีแผนฉุกเฉินของสนามบินอยู่แล้ว ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) โดยในแผนฯ มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบและแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและภายนอก รวมทั้งช่องทางติดต่อสื่อสาร เพื่อลดการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิดขึ้น ครอบคลุมเหตุฉุกเฉินที่เกี่ยวกับอากาศยานอุบัติเหตุ ทั้งภายในและภายนอกเขตสนามบิน การก่อวินาศกรรม เหตุการณ์เกี่ยวกับสินค้าอันตราย เพลิงไหม้อาคาร ภัยธรรมชาติ รวมทั้งเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขด้วย

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาสนามบินทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ดำเนินการฝึกซ้อมการปฏิบัติตามแผนฉุกเฉินของสนามบินอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเป็นการทบทวนประสิทธิภาพของแผนที่ใช้สำหรับตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาจจะเกิด โดยในแผนฉุกเฉิน จะกำหนด “ระยะเวลาตอบสนอง” ตั้งแต่หน่วยบริการดับเพลิงอากาศยานได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน จนกระทั่งถึงเวลาที่รถดับเพลิงอากาศยานคันแรก หรือกลุ่มแรกถึงจุดที่จะปฏิบัติการดับเพลิงและกู้ภัย และสามารถฉีดสารละลายโฟมในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของอัตราฉีดที่กำหนด 

ส่วนในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินของอากาศยานบนทางวิ่ง (รันเวย์) นั้น มีข้อกำหนดให้เวลาบนทางวิ่งที่ใช้งานภายใต้สภาพทัศนวิสัย และสภาพพื้นผิวที่เหมาะสม ต้องไม่เกิน 2 นาที และขณะที่เวลาตอบสนองบนพื้นที่เคลื่อนไหวนอกเหนือจากทางวิ่ง (ทางขับ ลานจอด) ต้องไม่เกิน 3 นาที ซึ่งทุกสนามบินต้องทำการฝึกซ้อมเพื่อให้ได้เวลาตามที่กำหนด และรายงานให้สายงานมาตรฐานท่าอากาศยาน และการบินทราบทุกเดือน เพื่อให้การดับเพลิง และกู้ภัยเป็นไปตามที่กำหนด 

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า ทอท. มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐาน รวมทั้งมีรถดับเพลิง อุปกรณ์ สารดับเพลิง ที่มีจำนวนและคุณสมบัติที่เหมาะสมกับระดับชั้นของการดับเพลิงและกู้ภัยด้วยนอกจากนี้ยังมีระบบสื่อสาร และการแจ้งเตือน เพื่อใช้สื่อสารเฉพาะระหว่างหอควบคุมการจราจรทางอากาศและสถานีดับเพลิง และระหว่างรถดับเพลิง รถกู้ภัย รวมถึงกับนักบินเมื่อเกิดเหตุด้วย โดยในการฝึกซ้อม ตามแผนฉุกเฉิน ทอท. ได้มีการจัดการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินแบบเต็มรูปแบบ (Full-scale exercise) ทุกๆ 2 ปี และฝึกซ้อมบางส่วน (Partial emergency exercise) ในปีที่ไม่ได้มีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินเต็มรูปแบบ รวมถึงมีการฝึกซ้อมบนโต๊ะจำลองสถานการณ์ (Tabletop exercise) อย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน ยกเว้นช่วงเวลาที่มีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินเต็มรูปแบบ 

ทั้งนี้ ในการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉิน และการเคลื่อนย้ายอากาศยานขัดข้อง จะมีผู้ประเมินจากผู้มีส่วนได้เสีย ทั้งจากภายใน และภายนอก ทอท. เพื่อให้ข้อคิดเห็นในการปรับปรุงพัฒนา เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อบกพร่องใดๆ ที่ตรวจพบระหว่างการซ้อมแผนฉุกเฉินโดยเฉพาะแบบเต็มรูปแบบ จะได้รับการแก้ไขปรับปรุง และให้มั่นใจว่าหน่วยงาน และองค์ประกอบต่าง ๆ ของแผนฉุกเฉินของสนามบินของ ทอท. มีความพร้อม และเพียงพอในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า นอกจากการฝึกซ้อมตามแผนฉุกเฉินแล้ว ทอท. ยังมีการฝึกซ้อมแผนเคลื่อนย้ายอากาศยานขัดข้อง ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากที่เหตุฉุกเฉินได้บรรเทาแล้วทั้ง 6 สนามบินอีกด้วย 

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของสนามบินที่ผู้โดยสารเดินทางเข้าออกเป็นจำนวนมาก อาทิ ทสภ. ได้มีการจัดเตรียมอุปกรณ์และบุคลากร เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการให้ความช่วยเหลือและกู้ภัยอากาศยานที่ประสบอุบัติเหตุ ประกอบด้วย รถดับเพลิงอากาศยานและอุปกรณ์ช่วยเหลือและกู้ภัยที่มีขีดความสามารถ ในการดับเพลิงอากาศยานที่มีขนาดความยาวและความกว้างที่สุดของอากาศยานโดยสารที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน เช่น B747-800, A380 โดย ปัจจุบัน ทสภ. มีสถานีดับเพลิงอากาศยาน 2 สถานี แต่ละสถานีมีรถดับเพลิงอากาศยาน 5 คัน ซึ่งสอดคล้องตามมาตรฐานสากลขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และมีการฝึกซ้อมเวลาตอบสนอง (Response time) เป็นประจำทุกเดือน เพื่อทดสอบความพร้อมของอุปกรณ์ และบุคลากรในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน.