กรณี ด.ช.วัย 14 ปี ผู้ก่อเหตุยิงกระสุนปืนด้วยอาวุธแบลงค์กันกลางห้างสยามพารากอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีก 5 ราย ได้รับการส่งตัวเข้ารับการประเมินสุขภาพจิตที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ แทนการคุมตัวไว้ที่สถานพินิจฯ เนื่องจากจิตแพทย์และนักจิตวิทยาได้มีการตรวจประเมินสุขภาพจิตของเด็กเบื้องต้น เห็นควรส่งตัวเข้ารับการรักษาและประเมินอาการทางจิตจากแพทย์เฉพาะทาง จิตเวชเด็กและวัยรุ่น

กระทั่งเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 3 ได้ส่งคืนสำนวนให้กับพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน เนื่องจากขั้นตอนการสอบสวนแจ้งข้อหาโดยไม่ชอบ เป็นการทำก่อนแพทย์ตรวจประเมินผู้ต้องหาซึ่งเป็นเด็กโดยไม่ได้รอผลการวินิจฉัยจากแพทย์สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ อีกทั้งในวันที่ 31 ธ.ค. ครบกำหนดผัดฟ้อง ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจะมีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราว ตามที่ได้นำเสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 31 ธ.ค. นายโกมล พรมเพ็ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และในฐานะโฆษกกรมพินิจฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ ว่า จากกรณีที่ ด.ช. 14 ปี ได้เข้ารับการรักษาตัวและประเมินสุขภาพจิตที่สถานพยาบาล สถาบันกัลยาณ์ นั้น ล่าสุด ด.ช. ยังคงนอนพักรักษาตัวและประเมินสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ตรวจรักษา อย่างไรก็ตาม ทางแพทย์ยังไม่ได้ส่งรายงานความเห็นวินิจฉัยแจ้งมายังกรมพินิจฯ

ส่วนกรณีที่พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน จะต้องนำส่งสำนวนสั่งฟ้องต่ออัยการให้ทันก่อนศาลปิดทำการ ตนทราบกระบวนการเบื้องต้น ว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจนำส่งสำนวนต่ออัยการไม่ทัน ภายในเวลา 16.30 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางจะต้องออกหมายปล่อยตัวชั่วคราว เพราะหน่วยงานจะไร้ซึ่งอำนาจในการคุมตัวเด็กไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมพินิจฯ จะต้องนำหมายดังกล่าวจากศาล ไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สถาบันกัลยาณ์ เพื่อปล่อยตัวเด็กให้กับครอบครัว และทางผู้ปกครองของ ด.ช. จะไปรอรับตัวบุตรที่สถาบันกัลยาณ์ภายในวันนี้ แต่ถ้าหากทางแพทย์เจ้าของไข้มีความเห็นว่า ด.ช. ควรเข้ารับการรักษาและประเมินสุขภาพจิตต่อเนื่อง แพทย์ก็จะขอรับตัว ด.ช. กลับไปเป็นผู้ป่วยดังเดิม

ในห้วงที่ผ่านมาทางกรมพินิจฯ โดย ผอ.นางปรีดา วิสาโรจน์ ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร ได้มีการประสานพูดคุยกับทางผู้ปกครองของ ด.ช. ถึงความจำเป็น ว่าหากมีความเป็นไปได้อยากให้เด็กได้เข้ารับการรักษาตัวต่อเนื่องกับแพทย์เฉพาะทางของสถาบันกัลยาณ์ เพื่อความปลอดภัยของตัวเด็กเองและต่อสังคม ทำให้ระหว่างนี้ กรมพินิจฯ จึงอยู่ระหว่างรอดูว่าทางตำรวจจะนำส่งสำนวนต่ออัยการทันหรือไม่ และถ้าหากนำส่งสำนวนทัน อัยการสั่งฟ้องทัน ศาลจะประทับรับฟ้องหรือไม่ ก็เป็นอำนาจของศาล เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

ส่วนในกรณีถ้าหากตำรวจนำส่งสำนวนต่ออัยการไม่ทัน ศาลก็ต้องออกหมายปล่อยเด็กตามที่ตนเรียนแจ้งข้างต้น จากนั้นหลังเวลา 16.30 น. เป็นต้นไป จึงจะทราบผลว่า ด.ช. วัย 14 ปี จะยังคงอยู่ในความดูแลของแพทย์สถาบันกัลยาณ์หรือไม่ หรือถ้าหากผู้ปกครองประสงค์จะนำตัวเด็กกลับไปดูแลเอง แพทย์จะมีความเห็นหรือดุลพินิจอย่างไร จะพิจารณาอนุญาตหรือไม่ ก็เป็นอำนาจของแพทย์ เพราะการตัดสินใจใดๆ จะต้องตระหนักถึงความปลอดภัยสูงสุดของตัวเด็ก และที่สำคัญคือ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม แต่ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำส่งสำนวนทัน อัยการสั่งฟ้องต่อศาลทัน เป็นไปตามกระบวนการ ศาลก็จะสั่งให้สถานที่ควบคุม ควบคุมตัวเด็กต่อไป แต่อาจจะขอความร่วมมือทางสถานพยาบาล (สถาบันกัลยาณ์) ควบคุมตัวเด็กต่อไปก็ได้ หรือถ้าสถาบันกัลยาณ์เห็นว่าสามารถนำตัวเด็กกลับมาที่สถานพินิจกรุงเทพฯ ก็ย่อมทำได้เช่นกัน

ทั้งนี้ จึงต้องรอดูสถานการณ์ภายหลังจากเวลา 16.30 น. แต่มีแนวโน้มสูงว่า ด.ช. จะยังคงอยู่ในการรักษาของสถาบันกัลยาณ์ต่อไป.