จากกรณีศาลมุกดาหาร (ศาลชั้นต้น) พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 (นายไชย์พล หรือพล วิภา) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 317 วรรคแรก ฐานกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร จำคุก 10 ปี

ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้อง และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 (น.ส.สมพร หรือแต๋น หลาบโพธิ์) กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง และศาลจังหวัดมุกดาหาร ให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายไชย์พล วิภา หรือ ‘ลุงพล’ หลักทรัพย์ 5 แสนบาท

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. นายวัชรินทร์ หรือ พ่อแบม พยานปากสำคัญที่ไขคดีน้องชมพู่ เล่าว่า วันเกิดเหตุเมื่อ 3 ปีก่อน เจอลุงพลที่สวนยาง ช่วงเวลาประมาณ 09.20-09.40 น. ซึ่งสวนยางนี้ สามารถใช้เป็นเส้นทางขึ้นลงเขาเหล็กไฟได้ พ่อแบมก็ตะโกนคุยกับลุงพล เขาบอกว่าเขามากระตุ้นยาง ลุงพลถามว่า พ่อแบมไม่ได้ไปไร่เหรอ เราบอกว่าเราไม่ได้ไป เราไปฉีดยาฆ่าหญ้าแถวนี้มา ลุงพลก็ตกใจ ถึงขั้นร้องเสียงหลงว่า “ฮะ! อยู่ตรงนี้เหรอ” และมีท่าทางกระสับกระส่าย ตอนนั้นก็เอะใจว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องใหญ่

หลังจากนั้น ตนกลับไปนอนพักที่บ้าน พ่อของน้องชมพู่ก็มาตามหาลูก ตนก็บอกว่าให้ลองไปถามลุงพลดู เพราะเราเพิ่งเจอลุงพลแถวๆ สวนยางนี่เอง หลังจากนั้นก็ออกไปช่วยเขาตามหา เอะใจว่าเป็นฝีมือลุงพลตั้งแต่ตอนออกตามหาชมพู่แล้ว เพราะพฤติกรรมแปลกๆ ตอนที่เจอกันที่สวนยาง

ต่อมาช่วงที่ตำรวจมาไล่สอบปากคำคนในบ้านกกกอก ตนให้ปากคำกับตำรวจไปว่า เจอลุงพลวันที่ 11 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นวันที่น้องชมพู่หายตัว ปรากฏว่าวันต่อมา ตำรวจก็มาค้นบ้านลุงพล ทำให้เขาไม่พอใจ ขี่มอเตอร์ไซค์มาที่บ้านของตน ทำท่าเหมือนจะเข้ามาทำร้าย แล้วบอกว่า เป็นเพราะตนไปให้ปากคำแบบนั้นทำให้ตำรวจสงสัยเขา เขาบอกว่า “เป็นเพราะเจ้านี่แหละ ที่ไปบอกว่าเห็นข่อยในเวลาที่ชมพู่หาย”

พ่อแบมจึงบอกว่า “ผมไม่รู้ว่าเวลานั้นเป็นเวลาที่น้องชมพู่หาย แต่ผมรู้ว่าเป็นเวลาที่ผมเจอกับลุงพล” และจากนั้นลุงพลก็บอกให้พ่อแบม ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ใหม่ โดยให้เปลี่ยนเวลาที่เจอลุงพล ให้บอกกับตำรวจใหม่ว่า ที่เจอกันวันที่ 9 พ.ย. หรือวันที่ 10 พ.ย. และหากเป็นวันที่ 11 ให้บอกว่าเราเจอกันในเวลาประมาณ 07.00 น. ให้บอกกับตำรวจว่า เจอลุงพลในเวลาประมาณ 7 โมง 10 นาที แต่ตนยืนยันว่า เจอเวลาไหน และพูดคุยอะไร ก็บอกความจริงกับตำรวจตามนั้น”

ขณะที่ พระอธิการบุญมา หนึ่งในพยานของคดีนี้ เป็นพระที่ลุงพลไปรับในวันเกิดเหตุ เล่าว่า เดิมทีจะต้องเป็นคนอื่นไปส่งหลวงพ่อ แต่เขาติดธุระ ก็เลยฝากให้ลุงพลเป็นคนไปส่ง เช้าวันที่ 11 พ.ย. ช่วง 6 โมงเช้า ลุงพลกับป้าแต๋นมาใส่บาตรพอดี ก็ยังย้ำว่าให้ลุงพลไปส่งด้วยนะ นัดไว้ว่าประมาณ 9 โมงกว่า ลุงพลจะมารับ แต่ถึงเวลาลุงพลมาช้า มาถึงวัดประมาณ 10 โมงกว่า ที่มาช้าเพราะลุงพลบอกว่า น้องชมพู่หายตัวไป

ซึ่งเรื่องนี้เอง ที่เป็นประเด็นเรื่องโทรศัพท์ เพราะลุงพลกับป้าแต๋น มีโทรศัพท์เครื่องเดียว และในวันเกิดเหตุ โทรศัพท์อยู่กับป้าแต๋น ลุงพลออกจากบ้านมารับพระ แล้วป้าแต๋นจะโทรฯ มาบอกลุงพลว่าหลานหายได้ยังไง

อีกคนที่มีเรื่องมีประเด็นคือ ปู่มหามุนี เล่าย้อนไปถึงตอนที่มีเรื่องใหม่ๆ เอฟซีของลุงพลมาตามตนไปช่วย เพราะตอนนั้นเริ่มมีปัญหาขัดแย้งในบ้านกกกอก ระหว่างกลุ่มยูทูบเบอร์ ตั้งใจไปให้ความรู้เรื่องกฎหมายเขา ตั้งใจไปไกล่เกลี่ยไม่ให้เขาทะเลาะกัน

หลังจากนั้น เราเป็นตัวแทนของลุงพล ไปโต้กับคนนั้นคนนี้ แม้แต่ในตอนที่คนอื่นๆ ทั้งหมอปลา ทนายตั้ม ถอยกันหมด เหลือแต่ตนยังไม่ถอย มีวาทกรรมกับคนนั้นคนนี้ จนเราไปเตือนเขาเรื่องไลฟ์สด ลุงพลมาถามเราว่า “คุณมายุ่งอะไร อย่ามายุ่ง”

พอมาวันนี้ เรื่องราวมันเปลี่ยนแปลงไป ตนอยากเตือนลุงพลในฐานะตนเป็น นช. มาก่อน อยากให้ควบคุมอารมณ์ให้ดี เข้าไปข้างในเขาไม่ใจดีกับเรา อย่าไปทำนิสัยแบบนี้ในเรือนจำ มันจะมีปัญหา