จากกรณี พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร สารวัตร (สอบสวน) สน.พระโขนง ยื่นหนังสือประสงค์ลาออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. 66 เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่รับราชการ อุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาโดยตลอด นำความรู้และความสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะทักษะด้านภาษาจีน ที่ได้เข้าร่วมในการทำคดีสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนจีนมากมาย ทั้งปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แอบมาเปิดฐานอยู่ในประเทศไทย และติดตามประสานงานจนสามารถจับกุมกลุ่มคนไทย ที่ไปเปิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จีน แต่เมื่อถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ กลับไม่มีความเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่เหมาะสม

“พ.ต.ท.” ยื่นหนังสือลาออก เผยทุ่มเททำงานคดีสำคัญ แต่เวลาโยกย้ายกลับถูกมองข้าม

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ พ.ต.ท.บดินทร เพ็ญสูตร หรืออาร์ม สารวัตร (สอบสวน) สน.พระโขนง นั้น เป็นนักเรียนเตรียมทหาร 48 (นตท.48) และนายร้อยตำรวจ รุ่น 64 (นรต.64) มีคุณพ่อคือ พล.ต.อ.สันติ เพ็ญสูตร อดีตรอง ผบ.ตร.

ช่วงก่อนสอบเข้าเตรียมทหาร พ.ต.ท.บดินทร ร่ำเรียนอย่างหนัก พร้อมไปกวดวิชาในสถาบันกวดวิชาแห่งหนึ่ง กระทั่งทำตามความฝันสอบเข้าเตรียมทหารได้ในที่สุด โดยในระหว่างเรียน เพื่อนร่วมรุ่นต่างยอมรับว่า พ.ต.ท.บดินทร ถือว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีพ่อเป็นระดับนายพล แต่ก็ไม่เคยใช้บารมีของพ่อมาช่วยเหลือแต่อย่างใด

พ.ต.ท.บดินทร เป็นคนที่มีความสามารถในด้านภาษาจีนอย่างมาก เป็นข้าราชการนักเรียนทุนได้ไปเรียนที่ประเทศจีน ทั้งนี้ จะพบเห็นบ่อยครั้งที่สำนักงานแห่งชาติใช้บริการเขา ทั้งที่ในตำแหน่งจริงๆ พ.ต.ท.บดินทร เป็นเพียงพนักงานสอบสวนตามโรงพักทั่วๆ ไป มีคดีสำคัญ ทั้งการร่วมปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แอบมาเปิดฐานอยู่ในประเทศไทย, ติดตามประสานงานจนสามารถจับกุมกลุ่มคนไทยที่ไปเปิดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน, ปราบปรามผู้มีอิทธิพลชาวจีนที่มากระทำผิดในประเทศไทย รวมถึงการเป็นล่ามให้กับผู้บังคับบัญชาระดับสูง เมื่อมีการประชุมหารือกับตัวแทนจากสถานทูตจีน หรือกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน และเป็นผู้ประสานความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในการปฏิบัติงานด้านต่างๆ อีกด้วย

ครั้งหนึ่งสมัยดำรงยศ พ.ต.ต. ตำแหน่ง สว.ผอ.บก.ทท.1 บช.ทท. (กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว) เคยกล่าวถึงคติในการทำงานอย่างชัดเจน จนหลายคนยกย่อง โดยระบุว่า คนเราต้องพัฒนาตัวเอง เหมือนฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีขอบเขต มีคุณธรรมเหมือนดิน สามารถนำพาหมื่นชีวิตให้งอกงามได้

อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งโยกย้ายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 ครั้งล่าสุด ได้พิสูจน์ให้ พ.ต.ท.บดินทร เห็นแล้วว่า ผู้บังคับบัญชาไม่ได้มองเห็นในความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่ได้มีการย้ายให้ไปดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมในด้านภาษาแต่อย่างใด อีกทั้งให้อยู่ในหน่วยงานที่ไม่ได้ใช้ความสามารถของตนในการปฏิบัติหน้าที่ ถึงแม้ว่าจะพยายามทุ่มเทช่วยเหลืองาน นอกเหนือจากงานในหน้าที่ตน ซึ่งทำให้รู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าไม่เพียงพอที่จะทำงานให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พ.ต.ท.บดินทร จึงระบุในหนังสือประสงค์ลาออกจากราชการชัดเจนว่า ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณผู้บังคับบัญชาที่ได้ทำให้ความฝันของข้าพเจ้าที่จะลาออกจากการเป็นตำรวจตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนเตรียมทหารนั้น สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และขอขอบพระคุณอีกครั้งที่นึกถึงกัน เวลามีคดีสำคัญที่เกี่ยวกับคนจีน แต่กลับมองข้ามเมื่อถึงเวลาพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย และเมื่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาแล้วว่า ข้าพเจ้าไม่มีความเหมาะสมที่จะได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสามารถของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอย้ายตนเองไปอยู่ในงานที่เหมาะสมต่อไป

ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนัก ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องสูญเสียนายตำรวจน้ำดีอีกคนหนึ่ง ที่สาเหตุมิใช่เรื่องที่เกินการคาดเดา แต่ชัดเจนด้วยถ้อยบริบท การโยกย้ายข้าราชการตำรวจ หากไม่มีเส้นสาย ไร้ตั๋ว ก็ยากที่จะสมหวัง.

ขอบคุณภาพบางส่วน เฟซบุ๊ก Tourist Police Bureau กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว