หลังจากศึกฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฟาดแข้งกันครบ 6 นัดในช่วงกลางสัปดาห์ มี 16 ทีมที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาต์ ขณะที่อีก 16 ทีมต้องหลุดวงโคจรจากการลุ้นคว้าถ้วยหูยักษ์ ซึ่งทั้ง 16 ทีมที่มีอันต้องตกรอบนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องสูญเสียไป
อันดับแรกคือเรื่องของเงินรางวัล ทีมที่ตกรอบแบ่งกลุ่ม จะหมดสิทธิ์ได้เงินรางวัล 8.2 ล้านปอนด์ (ราว 365 ล้านบาท) จากการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย อีกทั้งยังหมดสิทธิ์ได้เงินรางวัลจากการเข้ารอบลึกกว่านี้ โดยทีมที่เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายจะได้เงินรางวัล 9.1 ล้านปอนด์ (ราว 405 ล้านปอนด์) ถ้าเข้ารอบตัดเชือก ได้ 10 ล้านปอนด์ (ราว 445 ล้านบาท) และเข้ารอบชิงชนะเลิศ ได้ 13.3 ล้านปอนด์ (ราว 592 ล้านบาท) และทีมแชมป์ได้ 17 ล้านปอนด์ (ราว 756 ล้านบาท) รวมแล้วถ้าไปถึงแชมป์ เงินรางวัลคือ 45 ล้านปอนด์ (ราว 2,000 ล้านบาท)
นอกจากนี้ ทีมที่ตกรอบจาก แชมเปี้ยนส์ ลีก ลงไปเล่นในถ้วย ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก อาจต้องลงเตะในจำนวนนัดที่เท่ากันแต่รายได้ไม่มากเท่า นอกจากนี้ยังจะจะสูญเสียรายได้ในแต่ละแมตช์ ซึ่งการลงเตะในถ้วยใบเล็ก ค่าตั๋วก็มักจะถูกกว่ารวมถึงความต้องการของแฟนบอลก็น้อยกว่าด้วย
นอกจากรายได้ที่ว่ามาแล้ว ยังมีส่วนแบ่งรายได้จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ซึ่งเงินก้อนนี้มีอยู่ 257 ล้านปอนด์ (ราว11,427 ล้านบาท) แบ่งกันไปตามมูลค่าการตลาดของแต่ละลีก โดยพรีเมียร์ลีกคือลีกที่ได้ส่วนแบ่งมากที่สุด และจะได้รับส่วนแบ่งมากสุด แต่แต่ละทีมจะได้ส่วนแบ่งมากน้อยแค่ไหน อยู่ที่จำนวนนัดที่ทีมนั้น ๆ ลงสนาม ดังนั้นถ้าตกรอบแร็วก็ได้ส่วนแบ่งน้อยลง
ขณะเดียวกัน การตกรอบยังมีส่วนทำให้ค่าสัมประสิทธิ์ของสโมสรลดลง ซึ่งมีผลต่อเงินส่วนแบ่งจากค่าสัมประสิทธิ์ของ ยูฟ่า ที่คำนวนจากผลงานของสโมสรในถ้วยยุโรปในรอบ 10 ปี โดยทีมค่าสัมประสิทธิ์สูงสุดได้ 36.4 ล้านยูโร ทีมที่ต่ำสุดได้ 1.1 ล้านยูโร
นอกเหนือจากเรื่องตัวเงิน การตกรอบแบ่งกลุ่มแชมป์เปี้ยนส์ ลีก ยังอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของการเป็นสโมสรชั้นนำของทวีป และหากถูกมองว่าไม่ใช่ทีมชั้นนำของทวีป โอกาสที่จะได้นักเตะระดับเกรด A มาเสริมทัพก็ยากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทั้งหมดเหล่านี้คือหตุผลที่ทำให้ทุกทีมต่างอยากลงเล่นในถ้วยหูใหญ่ และต้องสู้แค่ตายเพื่อให้ผ่านเข้ารอบให้ลึกที่สุด