ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นำโดย นายประเวศ หมีดเส็น ผู้อำนวยการกองประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและกิจการพิเศษ (กปค.) พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ กปค. และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.จะแนะ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ จากหน่วยพิทักษ์ป่าช้างเผือก และเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองสุคิรินได้เดินทางเข้าเยี่ยมกลุ่มชาติพันธุ์มานิ (โอรัง อัสลี) ในพื้นที่ อ.จะแนะ และ อ.สุคิริน จังหวัดนราธิวาส
โดยทางคณะฯ ได้เดินทางไปที่บ้านไอร์เวาะ หมู่ 5 และ บ้านกาเตาะ หมู่ 7 ในพื้นที่ ต.ช้างเผือก อ.จะแนะจ.นราธิวาส เพื่อพบปะ พูดคุยกับกลุ่มชาติพันธุ์มานิ (โอรังอัสลี) ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีกลุ่มชาติพันธุ์มานิ (โอรังอัสลี) อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่มรวม 6 ครอบครัว ในที่ดินของชาวบ้านและอยู่ในเขตความรับผิดชอบของกรมป่าไม้ โดยถือว่าเป็นการเข้าไปอาศัยไม่ถูกต้อง เนื่องจากจะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมป่าไม้ด้วย จึงต้องมีการดำเนินการในส่วนนี้ให้ถูกต้อง เพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ขณะเดียวกันปัจจุบันนี้ ศอ.บต. วางแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยการบูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วนผลักดันให้กลุ่มชาติพันธุ์มานิ (โอรังอัสลี) บ้านไอร์เวาะและบ้านกาเตาะ ให้มีบัตรประชาชนเพื่อเข้าถึงสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะถือเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตในขั้นพื้นฐาน ทั้งด้านสาธารณสุข ด้านการศึกษา และการประกอบอาชีพอย่างถูกกฎหมาย
นายประเวศ หมีดเส็น กล่าวถึง การบูรณาการช่วยเหลือการกลุ่มชาติพันธุ์มานิ (โอรังอัสลี) ว่า สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำริให้หน่วยงานในพื้นที่ดูแลคุณภาพชีวิต ดำรงคงอัตลักษณ์ความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์มานิ (โอรังอัสลี) ซึ่งศอ.บต.ได้น้อมนำพระราชดำริดังกล่าวร่วมกับภาคีเครือข่ายช่วยเหลือกลุ่มคนเปราะบาง ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มานิ(โอรัง อัสลี) มีการดำเนินงานในด้านการออกเอกสารสิทธิบัตรประชาชน บัตรประกันสุขภาพและบัตรคนจน ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตทุกด้านควบคู่กันไป
ผู้อำนวยการกองประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและกิจการพิเศษ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ผ่านมา ศอ.บต.ร่วมกับภาคีเครือข่ายนำร่องออกบัตรประชาชนให้กับกลุ่มชาติพันธุ์มานิ (โอรัง อัสลี) บ้านนากอต.อัยเยอร์เวง จำนวน 59 คน ขณะนี้ได้ขยายการดำเนินการต่อเนื่องในพื้นที่ อ.ธารโต อ.จะแนะ จ.นราธิวาสพร้อมจัดหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน โดยเบื้องต้น ศอ.บต.ได้ขอใช้พื้นที่นิคมสร้างตนเองให้เป็นที่อยู่อาศัยเพื่อไม่ต้องมีการย้ายถิ่นฐาน และสามารถปลูกพืชเพื่อรับประทานในครอบครัว อีกทั้งยังเป็นการรักษาป่า ซึ่งมีการนำร่องที่บ้านนากอ อ.เบตง รวมประมาน 30 ไร่ ขยายสู่พื้นที่ อ.ธารโต อ.จะแนะ รวมประมาณ 80 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างประสานหาหน่วยงานรับผิดชอบหลักเนื่องจากบริเวณที่อยู่อาศัยของกลุ่มฯ นี้ อยู่ระหว่างเขตที่ดินนิคมสร้างตนเองสุคิรินกับกรมป่าไม้