สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ว่า นายกรัฐมนตรีคริส ลักซอน กล่าวว่า รัฐบาลเตรียมกำหนดมาตรการอย่างเป็นทางการ ในการห้ามการใช้สมาร์ตโฟนในชั้นเรียน แม้ยังไม่ได้กล่าวชัดเจนว่าจะเริ่มเมื่อใด แต่เรื่องนี้คือหนึ่งในนโยบายที่ลักซอนให้คำมั่นว่า จะดำเนินการให้ได้ภายใน 100 วันแรกของการปฏิบัติหน้าที่ นับตั้งแต่รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 27 พ.ย. ที่ผ่านมา


ผู้นำนิวซีแลนด์เชื่อมั่นว่า การห้ามใช้สมาร์ตโฟนในชั้นเรียน จะช่วยให้นักเรียนมีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น และจะข่วยให้อัตราการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนในประเทศ กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง หลังผลการทดสอบโดยหน่วยงานหลายแห่งทั้งในและต่างประเทศเป็นไปในทางเดียวกัน ว่าการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียนนิวซีแลนด์มีแนวโน้มลดลง “จนน่าใจหาย” ทั้งที่เคยติดอยู่ในกลุ่มลำดับต้นของโลก


ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็นชาวนิวซีแลนด์ 1,481 คน จัดทำโดยฮอไรซอน ที่เป็นหน่วยงานวิจัยแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 10-16 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่ลักซอนรับตำแหน่ง ปรากฏว่า 61% เห็นด้วยกับการห้ามใช้สมาร์ตโฟนในชั้นเรียน แต่ควรอนุญาตให้นักเรียนใช้สมาร์ตโฟนได้ในช่วงเวลาพัก


อนึ่ง องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เผยแพร่รายงาน เมื่อช่วงกลางปีนี้ ว่ายุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยี ควรเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน อย่างไรก็ตาม ครูและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ควรมีความระมัดระวังให้การใช้เทคโนโลยี “มีความพอดี”


ทั้งนี้ เทคโนโลยีดิจิทัล “สามารถเพิ่มพูนคุณค่าให้กับการศึกษา” ในทางกลับกัน การใช้เทคโนโลยีในชั้นเรียน “อาจก่อให้เกิดผลกระทบที่เป็นอันตราย ให้เป็นการใช้งานอย่างไม่เหมาะสมหรือมากเกินไป” ครูและบุคลากรการสอนควรให้ความสำคัญกับผลการเรียนรู้ มากกว่า “การป้อนข้อมูลแบบดิจิทัล”.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES