เป็นอีกหนึ่งคลิปที่ถูกชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ ภายหลังเกิดเหตุชายสูงวัยรายหนึ่งเข็นรถขายไอศกรีมอยู่ข้างถนน หลังจากนั้นปรากฏมีเจ้าหน้าที่เทศกิจหลายรายเข้ามาค้นรถขายไอศครีม ซึ่งมีรายหนึ่งได้หยิบเอากระป๋องใส่เงินของพ่อค้าไป ก่อนจะขึ้นรถกระบะ และขับออกไป โดยภายหลังทางด้าน “ไผ่ทองไอสครีม Paithong Ice Cream” ซึ่งเป็นเจ้าของแฟรนไชส์ไอศกรีมของพ่อค้าคนดังกล่าวได้ออกมาโพสต์ข้อความแถลงว่า เนื่องจากธุรกิจขายเร่เป็นอาชีพเก่าแก่ของโลกและของคนไทย พ่อค้าแม่ค้าธุรกิจนี้ส่วนใหญ่เป็นคนตัวเล็กที่มีเงินลงทุนไม่มาก จึงไม่ได้มีเงินพอสำหรับการเช่าร้านหรือพื้นที่ในการขาย จำเป็นที่ต้องออกขายไปตามแหล่งต่างๆ ที่อาจขัดกับระเบียบกฎหมายบ้านเมือง จึงขออภัยพร้อมจะทำการแจ้งต่อศูนย์ทุกศูนย์ให้ดูแลและระวัง
-‘ไผ่ทองไอสครีม’ขออภัยปมคลิปดัง เทศกิจยึดของพ่อค้าไอติม วอนเห็นใจคนไร้ทุนเช่าที่ขาย
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2021/09/messageImage_1632029441573-1.jpg)
สำหรับ “ไผ่ทองไอสครีม” นั้น คงเป็นหนึ่งในธุรกิจขายเร่ที่คุ้นตาคนไทยมาอย่างยาวนานจนเป็นตำนานความอร่อยนานถึง 70 ปี อีกทั้งเมื่อไม่กี่ปีก่อน ยังปรากฏเป็นข่าวดราม่าจนโด่งดังมาแล้ว
ที่มาของตำนานความอร่อย..
เรื่องราวของ ไผ่ทอง เริ่มต้นจาก นายกิมเซ้ง แซ่ซี ชายจากจีนแผ่นดินใหญ่ เขาเป็นพนักงานขายไอศกรีมของโรงงานไอศกรีมแห่งหนึ่ง ด้วยรสชาติที่ไม่คงเส้นคงวาจึงทำให้ได้รับคำติเตียนจากลูกค้าอยู่เป็นประจำ เมื่อความอดทนถึงที่สุดเขาจะไม่ทนอีกต่อไปจึงได้นำคำติเตียนเหล่านั้นไปบอกกับเจ้าของโรงงานและขอให้เจ้าของโรงงานปรับปรุง ฝ่ายเจ้าของโรงงานแทนที่จะรับฟัง กลับแสดงความไม่พอใจพร้อมทั้งยังบอกออกมาอีกว่า “ถ้าคิดว่าทำได้ตามที่พูดก็ให้ไปทำเอง” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความอร่อยในใจของคนไทย..
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2021/09/messageImage_1632029742017.jpg)
จากนั้นจึงตัดสินใจลาออกมาทำไอศกรีมด้วยตัวเอง ภายใต้ชื่อ “หมีบิน” ปรากฏว่าขายดิบขายดี จนต้องสั่งซื้อเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นมาใช้ในการผลิต พร้อมปรับปรุงสูตรให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น และต่อมาได้พบว่าว่าคำว่าหมีบินมีชื่อคล้ายกับนมตราหมี อาจทำให้ลูกค้าสับสนได้ จนกระทั้งเมื่อ 40 ปีที่ผ่านมา ถึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ไผ่ทองไอสครีม” ที่มาจากคำว่า กิมเต็ก แปลว่า คนที่มีคุณธรรมดั่งทอง และไผ่เป็นไม้มงคลของคนจีน และใช้ชื่อไผ่ทองทำตลาดไอศกรีมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2021/09/messageImage_1632029719447.jpg)
จนเมื่อต่อมาก็ลองเปิดโอกาสให้ดีลเลอร์ที่เป็นบุคคลภายนอกเอาไปทดลองขายโดยใช้แบรนด์ ซึ่งคนแรกที่เป็นดีลเลอร์อยู่แถวจรัญสนิทวงศ์ ช่วงแรกมีลูกน้องในทีมขายประมาณ 38-39 คน ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งโรงงานผลิตเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรก จนปัจจุบันมีกว่า 300 สาขา มีบางสาขาที่เจ้าของขยายสาขาแรกจนอยู่ตัวแล้ว ก็ขยับขยายไปทำสาขาที่ 2-3
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2021/09/messageImage_1632029598000.jpg)
ดราม่าระหว่างสายเลือด.. ไผ่ทองไอสครีม vs ไผ่ทองไอศครีม
เป็นทราบกันดีว่า “ไผ่ทอง” นั้นมีอยู่ 2 แบรนด์ด้วยกัน ซึ่งทั้งสองแบรนด์นั้น ต่างเป็นคนจากตระกูล “ชัยผาติกุล”
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2021/09/messageImage_1632029584233.jpg)
กลุ่มแรก คือ กลุ่ม “ไผ่ทองไอสครีม”
จดทะเบียนเมื่อ วันที่ 1 กันยายน 2541 รายชื่อหุ้นส่วนคือ นางน้ายเฮียง แซ่ซี (ภรรยาของนายกิมเซ้ง แซ่ซี ผู้ก่อตั้ง), นายบุรวิทย์ ชัยผาติกุล, นายเกษมสันต์ ชัยผาติกุล, นางสาวภัณฑิรา ชัยผาติกุล, นางสาวสิริณัฐ ชัยผาติกุล และนางเบญจนุช ชัยผาติกุล โดยจุดเด่นของแบรนด์คือการใช้ “ส.” เป็นตัวสะกด และใช้ต้นไผ่เป็นตัวสะกดแทน “ไ”
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2021/09/messageImage_1632029595087-1024x768.jpg)
กลุ่มที่สอง คือ กลุ่ม “ไผ่ทองไอศครีม”
เป็นของบริษัท ไผ่ทองไอศครีม จำกัด บริษัทจดทะเบียนเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2546 มีนายบุญชัย ชัยผาติกุล ลูกชายคนที่ 6 เป็นผู้บริหารงาน ส่วนนางสาวภคธร ชัยผาติกุล และนายปาลวัฒน์ พัฒนวิจิตร เป็นคณะกรรมการ โดยจุดเด่นของแบรนด์คือการใช้ตัวสะกดด้วย “ศ.” และมีต้นไผ่เป็นส่วนประกอบ
แม้ความแตกต่างของทั้ง 2 แบรนด์จะเป็นที่มาของดราม่า ที่ต่างฝ่ายต่างออกมาระบุว่า ตนเองคือต้นตำหรับของ “ไผ่ทอง” จนเป็นเรื่องราวดุเดือดศึกระหว่างสายเลือดนั้น แต่ในด้านเคล็ดลับ “ไผ่ทอง” ที่เป็นตำนานที่อยู่คู่คนไทยมาถึง 70 ปีนั้น ต่างมีเคล็ดไม่ลับ ที่ใครๆก็สามารถนำไปประยุกต์ได้ ก็คือ.. การรักษาคุณภาพและมาตรฐานของสินค้า, การให้ความสำคัญกับคำพูดและความรู้สึกของลูกค้า, การทำธุรกิจแบบกองทัพมด ดังที่เราจะเห็น “ไผ่ทอง” อยู่ถ้วนทั่วแทบจะทุกพื้นที่ในประเทศไทย และท้ายที่สุด ก็คือ การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และความต้องการของลูกค้า อาทิ การใช้โซเชียลมีเดีย เข้ามาสื่อสารกับลูกค้ามากขึ้นนั่นเอง..