เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 30 ต.ค. ที่ ห้องแถลงข่าว ชั้น 2 (ห้อง 2-01) อาคารกระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย ดร.ขจร ธนะแพสย์ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย และนายเสกสรร สุขแสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดี ร่วมกันแถลงถึงรายละเอียดปัญหา พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 พร้อมแนวทางการแก้ไขปัญหาลูกหนี้ กยศ. โดยการส่งหนังสือหมายแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับคดีในการขอให้ลูกหนี้ กยศ. เซ็นรับทราบและให้ความยินยอมในการงดการบังคับคดี หรืองดการขายทอดตลาด ซึ่งสามารถติดต่อสำนักงานบังคับคดีทุกแห่งทั่วประเทศ
นายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษา รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า ตามที่กระทรวงยุติธรรม ได้กำหนดโครงการ Quick Win ของแต่ละหน่วยงานในกระทรวงยุติธรรม โดยกรมบังคับคดี ดำเนินการในเรื่องการบังคับคดีเชิงรุก แก้ไขปัญหาหนี้สิน พัฒนากลไกการบังคับใช้กฎหมายในคดีแพ่งผ่านการทำงานของกรมบังคับคดี ซึ่งการแก้ไขปัญหาหนี้ ก.ย.ศ. เป็นหนึ่งในภารกิจของกรมบังคับคดี ที่ต้องเร่งดำเนินการ เนื่องจาก พ.ร.บ.กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2566 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 นั้น มีผลต่อการดำเนินงานของกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับการบังคับคดีลูกหนี้ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กองทุนฯ) ที่อยู่ในบังคับคดี เนื่องจาก พ.ร.บ.ดังกล่าวบัญญัติให้กองทุนฯอาจผ่อนผันการชำระหนี้ ระยะเวลาการลดหย่อนหนี้ การชำระคืน ตลอดจนการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ และมีผลต่อลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี หรือมีคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด หรืออยู่ในระหว่างการบังคับคดี ตามมาตรา 44 พ.ร.บ.กองทุนฯ (ฉบับที่ 2) โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวคณะกรรมการ กองทุนฯ ต้องออกหลักเกณฑ์กำหนดและอยู่ระหว่างดำเนินการของกองทุนฯ แต่เนื่องจากกรมบังคับคดี มีลูกหนี้กองทุนฯ ที่อยู่ระหว่างการบังคับคดีในปัจจุบันเป็นจำนวน 46,000 คดี ทุนทรัพย์ 6,633,172,319.77 บาท แบ่งเป็น คดียึดทรัพย์ จำนวน 22,312 คดี ทุนทรัพย์ 3,156,435,215.75 บาท คดีอายัด จำนวน 23,692 คดี ทุนทรัพย์ 3,476,172,319.77 บาท ซึ่งลูกหนี้ดังกล่าวต้องได้รับประโยชน์จาก พ.ร.บ. กองทุนฯ (ฉบับที่ 2) ด้วยโดยการหักชำระหนี้ต้องนำเงินที่ชำระไปหักต้นเงินเฉพาะส่วนที่ครบกำหนดก่อน ในส่วนของเบี้ยปรับที่ลดลงเหลือ 0.5 ต่อปี และดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี (ตาม พ.ร.บ.กองทุนฯ ฉบับเดิม คิดอัตราเบี้ยปรับไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 1 ต่อปี) ตลอดจนการหลุดพ้นของผู้ค้ำประกัน กรมบังคับคดีจึงได้เร่งดำเนินการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ กองทุนฯ ตาม พ.ร.บ.กองทุนฯ (ฉบับที่ 2) และเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
นายสมบูรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับข้อกังวลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น เนื่องจากเราได้ส่งหนังสือแจ้งสิทธิประโยชน์ดังกล่าวไปยังภูมิลำเนาของลูกหนี้กว่า 46,000 ราย แต่มีลูกหนี้ที่รับทราบและให้ความยินยอมเข้ารับการงดการบังคับคดีเพียง 109 ราย ซึ่งถ้าหากลูกหนี้ที่เหลือไม่ได้ให้ความยินยอม สิทธิประโยชน์เหล่านี้ก็จะไม่มีผล จึงขอให้ลูกช่วยหนี้ กยศ. ช่วยติดต่อเข้าพบพนักงานกรมบังคับคดี หรือเปิดอ่านจดหมายของกรมบังคับคดี โดยไม่ต้องหวาดกลัว เพราะนี่คือสิทธิประโยชน์ของลูกหนี้ทุกคนและผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ด้วย เพราะผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นทันทีไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ดังนั้น ขอให้ไม่ต้องเป็นกังวลหากได้รับหนังสือดังกล่าว หน้าที่การอธิบายสิทธิประโยชน์จะเป็นของพนักงานกรมบังคับคดีเอง ทั้งนี้ ลูกหนี้จะไปพบเจ้าพนักงานที่ใดก็ได้ อาทิ อาคารกรมบังคับคดี ถนนบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ หรือสำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ ภายในจังหวัดของท่าน และเมื่อท่านเข้าสู่กระบวนการยินยอมนี้แล้ว จึงไปสู่การพูดคุยเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ จะมีการคำนวณคิดยอดชำระหนี้ใหม่ เป็นไปตามกฎหมาย กยศ. ฉบับปัจจุบัน
ขณะที่นายเสกสรร สุขแสง ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า การดำเนินการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนี้ 1.คดีที่อยู่ระหว่างประกาศขายทอดตลาดและกองทุนฯ ได้มีหนังสือแจ้งต่อกรมบังคับคดี ของดการบังคับคดี ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดไว้ และมีหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้ และผู้มีส่วนได้เสียให้ความยินยอมในการงดการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 2.คดีที่อายัดทรัพย์สิน ให้รอการทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายเงินไว้ก่อน และกรมบังคับคดีได้แจ้งให้กองทุน ฯ ตรวจสอบและแจ้งยอดหนี้ เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.กองทุน ฯ (ฉบับที่ 2) 3.คดีที่มีการขายทอดตลาด หรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือผู้ค้ำประกันไปแล้วทั้งก่อนและหลังวันที่ 20 มีนาคม 2566 กรมบังคับคดีได้ชะลอการจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายไว้ก่อน และขอให้กองทุน ฯ เร่งตรวจสอบยอดหนี้ตาม พ.ร.บ.กองทุนฯ (ฉบับที่ ๒) ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับลูกหนี้ในเรื่องอัตราดอกเบี้ย และเบี้ยปรับตามที่กำหนดไว้ในคำพิพากษา 4.การดำเนินการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างกองทุนฯ กับลูกหนี้ เมื่อได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้แล้ว จะมีผลให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากหนี้ และงดการบังคับคดีตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ และ 5.ในกรณีที่กองทุนฯ จำเป็นต้องบังคับคดีเนื่องจากจะพ้นระยะเวลาการบังคับคดี และลูกหนี้ยังไม่ได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับกองทุนฯ ก่อนการบังคับคดีกองทุนฯ ต้องแถลงภาระหนี้ตาม พ.ร.บ.กองทุนฯ (ฉบับที่ 2)
นายเสกสรร กล่าวอีกว่า จากการหารือร่วมกับกองทุนฯ ซึ่งได้รับแจ้งว่า ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 กองทุนฯ สามารถออกข้อบังคับ หลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไขตาม พ.ร.บ.กองทุนฯ (ฉบับที่2) ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับลูกหนี้กองทุนฯเป็นอย่างมาก ส่วนสิ่งที่ลูกหนี้ต้องดำเนินการ คือ ต้องยื่นหนังสือยินยอมให้งดการบังคัลคดี เพื่อให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในช่องทางต่าง ๆ ดังนี้ ทางเว็บไซต์ website : led.go.th > banner กยศ หรือ ติดต่อที่กรมบังคับคดี สายด่วน 1111 กด 79 หรือติดต่อสำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ หรือส่งหนังสือยินยอมให้งดการบังคับคดี ทาง e- mail ของสำนักงานบังคับคดีทั่วประเทศ
ด้าน ดร.ขจร ธนะแพสย์ ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การแก้กฎหมาย กยศ. จะทำให้เกิดการคำนวนยอดหนี้ใหม่ที่เป็นธรรม ซึ่งจะลดภาระเงินต้นคงค้าง เช่น นายเอ (นามสมมติ) กู้เงิน กยศ. จำนวน 216,758 บาท (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545-2564) และมีการจ่ายชำระหนี้มาแล้ว 180,500 บาท ปรากฏว่าเงินชำระหนี้ทั้งหมดนั้นถูกนำไปชำระเป็นค่าปรับดอกเบี้ยแต่ไม่ได้มีการหักเงินต้น ทำให้เงินต้นของลูกหนี้รายนีเยังคงค้างอยู่ที่ยอดเดิม แต่ถ้าในกฎหมายนี้เบี้ยปรับและลำดับการตัดชำระหนี้จะเปลี่ยนใหม่ ลูกหนี้รายนี้จะเหลือเงินต้นคงค้างอยู่ที่ 51,964 บาทเท่านั้น โดยเป็นการคำนวณเบี้ยปรับใหม่ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0.5% ต่อปี ทั้งหมดนี้จะทำให้อยู่ในวิสัยที่ลูกหนี้จ่ายคืนได้และเป็นธรรมแก่ลูกหนี้มากขึ้น ซึ่งกรมบังคับคดีจะสามารถคำนวนยอดหนี้ใหม่ได้ ลูกหนี้จะต้องให้ความยินยอม จึงขอให้ลูกหนี้ทุกคนประสานติดต่อมายังกรมบังคับคดี เพื่อปลดล็อคปัญหาหนี้ กยศ.
ดร.ขจร กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ลูกหนี้ต้องการปิดยอดการกู้ยืมเงิน กยศ. ตนขอความร่วมมืออย่าเพิ่งดำเนินการปิด เพราะหากปิดก่อนจะไม่ได้รับการคำนวนยอดหนี้ใหม่ที่เป็นธรรม จึงขอให้ลูกหนี้เข้าพบพนักงานบังคับคดี เพื่อพูดคุยเรื่องยอดหนี้ทั้งหมด และตัวเลขหลังการปรับชำระ แล้วจึงค่อยดำเนินการประสานปิดยอดหนี้ภายหลัง.