จากกรณีที่ นายเชาวลิต ทองด้วง หรือเสี่ยแป้ง อายุ 37 ปี ผู้ต้องโทษในความผิดคดีปล้นทรัพย์ ความผิดต่อเสรีภาพ พ.ร.บ.อาวุธปืน กำหนดโทษรวม 21 ปี 3 เดือน 25 วัน และจะพ้นโทษในวันที่ 6 พ.ค. 2586 และถูกย้ายพฤติการณ์มาจากเรือนจำกลางพัทลุง เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 66 เนื่องจากเป็นผู้มีอิทธิพล โดยเมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา นายเชาวลิต ได้ถูกส่งออกไปรักษาทางทันตกรรม ณ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช แต่กลับมีอาการวูบหมดสติและขาอ่อนแรง แพทย์จึงอนุญาตให้แอดมิทที่โรงพยาบาล ก่อนเตรียมส่งกลับเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ในเช้าวันที่ 21 ต.ค. แต่นายเชาวลิต ได้อาศัยจังหวะที่ 2 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่อยู่เฝ้าหน้าห้องผู้ป่วย ก่อเหตุใช้กุญแจสะเดาะตรวนในเวลา 01.00 น. และได้หลบหนีไปพร้อมกับผู้ช่วยเหลืออีก 3 ราย ที่มีการเตรียมรถกระบะ 4 ประตู ยี่ห้อมิตซูบิชิ สีขาว ทะเบียน กจ 9049 พัทลุง ก่อนพาขับออกจากพื้นที่โรงพยาบาล เพื่อหนีการควบคุมตัว ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังคงอยู่ระหว่างการไล่ล่าติดตามตัว ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 ต.ค. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยจาก นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ถึงประเด็นที่ว่า หากภายหลังการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วพบว่า สองผู้คุมราชทัณฑ์มีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนหลบหนีของนายเชาวลิต จะมีโทษจากกรมราชทัณฑ์อย่างไรบ้าง โดยนายสหการณ์ ระบุว่า ถ้าทั้งสองเจ้าหน้าที่มีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ก็จะต้องถูกแจ้งข้อหามาตรา 157 ในส่วนของการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แล้วก็จะดูในเรื่องของวินัยร้ายแรง อาจมีการสั่งพักราชการไว้ก่อน หรืออาจให้ออกจากราชการ ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว หากผู้ต้องขังป่วยจะต้องไปที่โรงพยาบาล ทางเรือนจำจะต้องจัดเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จำนวน 2 ราย ในการประกบผู้ต้องขัง 1 ราย (เป็นไปตามสัดส่วน)

“ยืนยันว่าทางกรมราชทัณฑ์จะดำเนินการตรวจสอบในทุกมิติอย่างละเอียดแน่นอน และจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านลอยนวลไปเฉยๆ เพราะถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และทุกอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้กำชับมาตลอด ในเรื่องความปลอดภัยของผู้ต้องขัง ไม่ว่าผู้ต้องขังจะออกไปปฏิบัติสาธารณประโยชน์ หรือผู้ต้องขังที่จะต้องไปรับการรักษาตัวภายนอกเรือนจำ ก็ได้มีการกำชับมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มันอาจจะมีความผิดพลาด หรือมีการทำงานที่ไม่เต็มศักยภาพ หรือว่าอาจจะมีความประพฤติที่ไม่ถูกต้อง ตนคิดว่ามันขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบและว่ากันไปตามกฎหมายต่อไป” รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุ