5 วัน หลังจากความพ่ายแพ้แบบดราม่ามาเต็ม ในเกมกับ จอร์เจีย 0-8 ทีมชาติไทย สามารถสลัดฝันร้ายได้ในการพบ เอสโตเนีย

เป็นเกมที่ ทีมไทย ต่อกร ต่อสู้ บดเบียดได้สนุก

ประตูตีเสมอของ การโขกของ จักพัน ไพรสุวรรณ อากัปกริยาน้ำตาซึม และอาการของเพื่อนร่วมทีมที่เหมือนปลดปล่อยทุกอย่าง

คงแสดงถึงความรู้สึกที่อัดอั้นทั้งหมดได้อย่างดี

นัดนี้ มาโน โพลกิง วางหมากเน้นรัดกุมมากขึ้น อัด 3 กลางรับ กฤษดา กาแมน ได้ขึ้นมาเล่นมิดฟิลด์เสียที ขนาบข้างด้วย พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, วีระเทพ ป้อมพันธ์ ส่วน 3 ตัวบนก็ดีสุดเท่าที่มี บดินทร์ ผาลา, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, ยศกร บูรพา

เป็นเกมที่แดนกลางช่วยแบ่งเบาภาระคู่เซ็นเตอร์ เอเลียส ดอเลาะ, จักพัน ไพรสุวรรณ ได้อย่างดี และทั้ง เอเลียส กับ จักพัน ก็เล่นได้ดี สู้บู๊ถึงไหนถึงกัน

ขณะที่ กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล ที่นัดแรกงัด 14 เซฟ มีจังหวะอ่านเกม ตัดเกมสวยๆ หลายครั้ง

ไทยวางหมากรัดกุม แต่เกมรุกก็มี บดินทร์ มีลากเลื้อย ส่วนฝั่งขวา ทริสตอง โด ได้เติมบ่อยๆ ขณะที่แผงมิดฟิลด์ ก็มีแทงสวยๆ

เอสโตเนีย อันดับโลกต่ำกว่าเราก็จริง แต่ต่ำกว่าเพราะเขาเจอแต่คู่แข่งเบอร์ต้นของยุโรป คะแนนเลยฝืดเคือง ถ้าเทียบดีกรีแล้ว น่าจะเหลื่อมๆ กว่าเรา ดังนั้นในสภาพที่ไม่ฟูลทีม ออกมาเล่นอากาศหนาวเย็นในบ้านเขา และด้วยหมากของ มาโน กับหัวใจของนักเตะถือว่าต้องยกนิ้วให้

ไทยเสมอ เอสโตเนีย 1-1 แม้เทียบแล้ว จอร์เจีย ดีกว่า เอสโตเนีย แน่นอน แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าถึงขนาดที่จะมารัวไทยถึง 8 ลูก

สกอร์ในเกมแรก มันเกินกว่าที่จะเป็น เลวร้ายกว่ามาตรฐานที่มี

เกินกว่าที่จะเป็นเพราะความไม่พร้อม ทำให้แผลเปิด นำไปสู่การแตกสลาย และจอร์เจียเองก็บ้าเลือด

ดีที่ ช้างศึก รวบรวมสติ ทิ้งทุกดราม่า ทำผลงานได้ดี

สามารถเรียกขวัญกำลังใจกลับมาได้บ้าง จากเกมที่พบ กับ เอสโตเนีย เพราะหากโดนถล่มมาอีก ไม่รู้จิตใจจะเตลิดเปิดเปิงขนาดไหน ก่อนที่จะถึงงานใหญ่ คัดบอลโลก กลางเดือนหน้าที่เปิดเจอจีนที่ราชมังคลากีฬาสถาน

แต่ใช่ว่าจะกอบกู้ทุกอย่างมาได้หมด จงอย่าลืมร่องรอยความเจ็บช้ำ จากสกอร์ขาดวิ่นจะยังคงอยู่ต่อไป

เป็นแผลเหวอะเตือนใจ จากการบริหารงาน

ย้ำว่าแผลจากการบริหาร การให้ความร่วมมือจากสโมสร ไม่ใช่จากนักเตะ

ในขณะที่นักเตะสู้กันสุดใจ หวังว่าท่านๆ จะรู้สึกรู้สา สะดุ้งสะเทือน และจำกันบ้าง.

*** วุฒินล ***