หนึ่งในร่องรอยยุคอาณานิคมที่ยังคงอยู่จนทุกวันนี้คือประภาคารเกาเหม่ย ประภาคารแห่งเดียวในไต้หวันที่ทาด้วยแถบสีแดงและขาว ที่เคยทำให้ชายหาดเกาเหม่ยเป็นที่นิยม ก่อนที่ท่าเรือไถจงจะถือกำเนิดและส่งผลให้สภาพแวดล้อมชายหาดเปลี่ยนไป จนกระทั่ง “พื้นที่ชุ่มน้ำเกาเหม่ย” (Gaomei Wetlands) ถือกำเนิดขึ้นเพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายของระบบนิเวศน์ จากความพยายามของภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยตงไห่ เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2536 ที่นี่ก็กลายเป็นจุดเช็คอินยอดฮิตของคนไต้หวัน

              แสงสีทองที่ค่อย ๆ เข้มเด่นชัดขึ้น ขณะที่ดวงอาทิตย์กลมโตค่อย ๆ ขยับลงใกล้กับผิวน้ำที่อยู่ห่างไป ณ เส้นขอบฟ้า โดยมีทิวกังหันลมเรียงรายเป็นฉากหลังอยู่ด้านหนึ่ง เป็นภาพประทับใจที่มีให้ได้ชมเกือบทุกวัน ในช่วงที่ฟ้าเป็นใจเมฆฝนไม่มาเยือน

              พื้นที่ชุ่มน้ำเกาเหม่ยตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำต้าเจี๋ย แม้จะมีเนื้อที่รวม ๆ เพียงแค่ 1,500 เอเคอร์ แต่กลับเต็มไปด้วยความหลากหลาย มีระบบนิเวศน์ที่ซับซ้อนและอุดมสมบูรณ์ มีไฮไลท์อยู่ที่ Bolboschoenus planieulmis พืชตระกูลเดียวกับกกที่ถือว่ามากที่สุดในไต้หวัน แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนที่มาเยี่ยมเยือนจะไปรวมอยู่ที่ปูก้ามดาบ และปลาตีน ที่มีจำนวนสมาชิกมากมายจนนับไม่ไหว ขณะที่นักดูนกถือว่าพื้นที่นี่เป็นสวรรค์อีกแห่งเพราะมีทั้งนกประจำถิ่นและฝูงนกอพยพในช่วงฤดูใบไม้ร่วงต่อเนื่องถึงฤดูหนาว รวมทั้งเป็ดป่าที่ว่ากันว่าจะพบเจอได้ยากด้วย

              นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมสามารถเดินชมความหลากหลายของระบบนิเวศน์พื้นที่ชุ่มน้ำเกาเหม่ยไปตามสะพานไม้ที่ทอดตัวยาวไปตามเลนทราย ที่มีปูก้ามดาบ และปลาตีนคอยทักทายตลอดสองฝั่ง ตรงจุดสิ้นสุดทางช่วงน้ำลงสามารถลงไปเดินบนเนินเลนทรายได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวใกล้กับสะพานข้ามแม่น้ำต้าเจี๋ย ซึ่งเป็นจุดชมวิวกังหันลมอีกแห่ง และเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เหมาะสำหรับนักดูนก และหากติดใจบรรยากาศย่านนี้อยากรอชมช่วงพระอาทิตย์ขึ้นบ้าง ที่นี่มีที่พักในสไตล์เต้นท์แคมป์ไว้บริการ

              กลับเข้าเมืองไถจงมุ่งหน้าไปที่ย่านชิคชิคอย่าง “เฉิ่นจี้ซินชุน” (Shen Ji New Village) อดีตที่พักของพนักงานบัญชีที่ถูกทิ้งร้างไปพร้อมประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 50 ปี ได้รับการฟื้นฟูใหม่จากรัฐบาลเพื่ออนุรักษ์อาคารเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ ความตั้งใจที่จะให้พื้นที่นี้กลายเป็นพื้นที่แห่งความคิดสร้างสรรค์ จึงมีคนรุ่นใหม่เข้ามาเปิดกิจการทั้งคาเฟ่เก๋ ๆ เมนูสุดเย้ายวนใจสายหวาน ร้านอาหารแนวคิดแหวกที่เอาของเล่นอย่างหม้อหุงข้าวใบจิ๋วมาเป็นภาชนะใส่เมนูเด็ดให้พกกลับไปเป็นที่ระลึก ไปจนถึงแผงขายของสไตล์แฮนด์เมด และนักดนตรีเปิดหมวกที่มาขับกล่อมไม่ให้บรรยากาศเงียบเหงา บอกเลยว่าที่นี่ฮิตมากในหมู่วัยรุ่น เพราะมีมุมเก๋ ๆ ให้แชะแล้วแชร์เพียบ

              ไม่ไกลกันมีแหล่งช้อปปิ้งของเหล่าตัวแม่อย่าง Park Lane by CMP” มีทั้งแบรนด์เนม ซุปเปอร์มาเก็ต และร้านอาหาร ใครที่ไม่ช้อปแนะนำให้เดินชมความตั้งใจในการเติมพื้นที่สีเขียวไว้กับอาคารได้อย่างลงตัว ทั้งกำแพงต้นไม้สูง 5 ชั้น ต้นไม้รอบกำแพงด้านนอกอีก 120,000 ต้น จนทำให้ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นตึกพื้นที่สีเขียวที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย

              แต่หากอยากลองย้อนไปในบรรยากาศแบบยุคเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ แปลงโฉมให้เข้ากับสถานที่แล้วไปเดินทอดน่องโพสต์ท่ามุมนู้นมุมนี้ในคฤหาสต์ “จวี่ขุ่ย” (Ju Kui Western-Style House) คฤหาสน์ส่วนตัวของนายเฉินเซ้าจง (Chen ShaoZong) นักธุรกิจผู้ร่ำรวยและมั่งคั่งที่สุดในย่าน บ้านสไตล์ตะวันตกอายุกว่า 100 ปี สร้างในช่วงปี 1930-1940 ออกแบบผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมจีนและตะวันตกได้อย่างลงตัว โดยเป็นอีกแห่งที่ถูกทิ้งร้างหลายปีก่อนจะได้รับการปรับปรุงและเปิดให้เข้าชมอีกครั้งในปี 2020

              ส่วนสายอาร์ทต้องไป “โรงละครแห่งชาติไถจง” (National Taichung Theater) ไม่ต้องจองตั๋วชมการแสดงก็สามารถมาเดินชมสถาปัตยกรรมที่มาจากแนวคิดถ้ำเสียง กับอาคารรูปทรงโค้งมนที่ไม่มีเสาค้ำหรือกำแพงตั้งฉากมารบกวนการตกแต่งภายใน ผลงานของ อิโตะ โตโย (Ito Toyo)สถาปนิกชาวญี่ปุ่นกับแนวคิดถ้ำเสียง มาช่วงแดดร่มลมตกแนะนำให้ขึ้นลิฟท์ไปชั้นดาดฟ้าชมสวนกลางแจ้งลอยฟ้าที่ไม่ลืมสอดแทรกไอเดียสุดสร้างสรรค์