ยังคงเป็นข่าวเศร้าของคนในวงการบันเทิงสำหรับการสูญเสีย เสนาโค้ก นายสมชาย เปรมประภาพงษ์ พิธีกรคนดังที่เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งตับ ท่ามกลางความอาลัยของคนในครอบครัวและคนใกล้ชิด ล่าสุดวันนี้ที่ (16 ก.ย.) ที่ศาลาจารุมิลินท วัดชลประทานรังสฤษดิ์ จ.นนทบุรี ได้มีพิธีสวดพระอภิธรรมของเสนาโค้กขึ้น โดยในงาน นางเบญจรัตน์ เปรมประภาพงษ์ ภรรยา และ นางสาว รสธร เปรมประภาพงษ์ หรือ สมาย ลูกสาวของเสนาโค้กได้ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนด้วย

เบญจรัตน์ เผยว่า “พี่โค้กจากไปด้วยความสงบ ไม่ได้เจ็บปวดอะไร แต่ถามว่าเจ็บปวดไหม ตอนที่ระหว่างการรักษาเขาก็สู้นะคะ สู้จนถึงที่สุด ทุกทางที่จะทำได้ ยื้อเพื่อที่อยากจะอยู่กับลูกนานๆ พอพี่โค้กทราบว่าป่วย คุณหมอก็บอกตรงๆ ว่าพี่โค้กน่าจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ด้วยความที่เขาก็กำลังใจ พี่ น้อง เพื่อน ให้กำลังใจเขาดีมาก เขาก็สู้ หาหนทางหลายหนทาง มีแพทย์ทางเลือก แพทย์แผนจีน อาการแรกเริ่มคือเท้าบวม ปวดท้อง ก็ปกติของคนเป็นโรคตับ แต่เขาไม่มีท้อ ไม่มีบ่นเลย พี่โค้กคือยอดนักสู้ ทุกทางที่ทำได้ จะถูกจะแพง ไปหมด สมุนไพรก็ลองทุกอย่าง แล้วก็มาเลือกทางแพทย์แผนจีนที่พี่โค้กใช้ชีวิตอยู่นาน 8 เดือน จากที่ทราบจากคุณหมอว่าอยู่ได้แค่ 3 เดือน ก็ถือว่านานพอสมควร คือแพทย์แผนปัจจุบันค่อนข้างปิดแฟ้มแล้วพูดง่ายๆ ก็เลยไปรักษาแพทย์แผนจีนซึ่งมีราคาที่สูงมาก ถามว่าอาการเป็นยังไงบ้าง ก็โดยประเมินพี่โค้กดีขึ้นเรื่อยๆ และก็มีทรุดบ้าง ดีบ้าง ทรงตัวบ้าง เรื่องค่าใช้จ่ายก็มีพี่ๆ น้องๆ ช่วยกันด้วยค่ะ เป็นพี่ที่เคารพ เป็นญาติผู้ใหญ่ของเราเอง”

“เรื่องการสั่งเสียนั้น พี่โค้กจริงๆ ไม่สั่งเสียเลย เพราะพี่โค้กคิดว่าเขาต้องหาย เขาสู้เขาเป็นคนที่สู้พอสมควร ถ้าถามเรื่องที่เขาห่วง คงห่วงเรา ส่วนลูกสาวก็ไม่มีปัญหา ส่วนลูกชายก็อยู่ที่อเมริกาก็กลัวภรรยาทำใจไม่ได้ก็ประมาณนั้นค่ะ ทำใจไม่ได้ ถามว่าให้ความสบายใจเขาไว้ยังไงบ้าง ก็บอกเขาทุกอย่างว่าไม่ต้องห่วง ยังไงเราก็สู้อยู่แล้ว เลือดนักสู้เหมือนกัน ไม่ต้องห่วงตอนที่คุยกับพี่เขารับรู้ได้ แต่พอคุยกับลูกชายก็มีน้ำตาไหล เพราะเขาค่อนข้างรักลูกชาย เขาน้ำตาไหล พอได้คุยกับลูกชายและจบสนทนาก็หลับไป เอาจริงๆลูกชายคือคนสุดท้ายที่ได้คุยกับเขาผ่านซูม คือลูกชายยังเล็กอยู่ อายุ 19 ปี ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ที่อเมริกา พอทราบข่าวพ่อ น้องก็เสียใจมาก เขาติดคุณพ่อตามประสาเด็ก ร้องไห้ ญาติที่อยู่ที่โน่นก็ส่งข่าวตลอดว่าเขายังเสียใจอยู่คือจริงๆ ทางญาติจะให้น้องมา แต่ด้วยสถานการณ์โควิดไม่น่าจะทัน แต่ด้วยคุณพ่อเองก็เคยสั่งแล้วว่า ถ้าป๊าจะเป็นอะไรลูกไม่ต้องกังวลนะ เดินหน้าต่อไปเลย อยู่ตรงนั้นเลย ไม่ต้องห่วงป๊า คนอยู่ก็ต้องอยู่ต่อไป คนไปมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ”

ภรรยาของเสนาโค้ก เล่าต่อว่า “ลางสังหรณ์ไหม คือมีอยู่เรื่องหนึ่ง ปกติเราก็ใช้ชีวิตกันเหมือนเพื่อน เขาบอกเพื่อนซึ่งเขาเองไม่ค่อยพูด เขาบอกขอบคุณเพื่อนๆ ที่มาเยี่ยม คือเพื่อนมาเยี่ยมเยอะมาก ซึ่งช่วงสถานการณ์โควิดก็ต้องจัดคิวว่าใครจะมาช่วงไหน เขาก็บอกเพื่อนว่า เขาขอบคุณภรรยาที่ดูแลเขาเป็นอย่างดี ดูแลเขามาตลอด ทำหน้าที่เต็มที่ เท่าที่ทำได้ เขาขอบคุณจริงๆ เขาบอกเพื่อนๆ เขาเป็นคนปากแข็ง ไม่ค่อยจะพูด เรื่องงานจริงๆ ตั้งแต่สถานการณ์โควิดเขาก็ไม่มีงานมานานแล้ว 1-2 ปีแล้วที่หยุดงาน เพราะบริษัทก็มีจัดงานอีเวนต์ด้วยค่ะ ก็หยุดไปเลยยังไม่รู้เลยว่าใครจะสานต่อ คือเขาทำหลายอย่างจนเราก็ไม่รู้ว่าอะไรบ้าง บอกรายละเอียดไม่ได้เลยค่ะ”

สมาย เผยว่า “การจากไปของคุณพ่อก็ทำใจมาสักพักแล้วค่ะ ตั้งแต่คุณพ่อป่วยเราก็ใกล้ชิดและพาคุณพ่อไปตั้งแต่เริ่มเจอโรคนี้ เห็นทุกขั้นตอนที่มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และเราก็อยู่ใกล้ชิดคุณพ่อตลอด ให้กำลังใจ อะไรที่ไม่เคยได้ทำหรือว่าไม่ค่อยได้ใกล้ชิด ก็ไม่เสียใจ เพราะเราอยู่ใกล้คุณพ่อตลอด แต่ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ แต่มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ ก็บอกพ่อว่าไม่ต้องห่วงอะไร ไม่ต้องห่วงแม่ ไม่ต้องห่วงน้องหรือว่าอะไร ทุกคนโตแล้ว เขาก็จะห่วงแม่ หนูก็ไม่ได้บอกลานะคะ คุณพ่อเขาสู้ แต่เขาก็มีความหวังทุกๆ วัน เราก็บอกว่าเดี๋ยวพ่อก็ต้องดีขึ้น เดี๋ยวก็หาย ก็เลยจะไม่ได้บอกลาอะไร เอาจริงๆ หนูก็บอกป๊าไปหมดแล้ว ตลอดช่วงที่เขาไม่สบาย ก็รักปะป๊าที่สุดในโลก และน้องมาวิน น้องชายก็รักปะป๊ามากๆ ที่สุดในโลกค่ะ และไม่อยากให้ห่วงอะไร วันหนึ่งเราต้องได้เจอกันอีก และก็จะดูแลแม่ให้ดีที่สุดค่ะ”