และล่าสุดในการประชุม คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 10/2566 ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง  นั่งหัวโต๊ะ ได้มีมติ  9 ต่อ 1 งดออกเสียง 2 เลือก “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. อาวุโสอันดับ 4 ผงาดขึ้นเป็น ผบ.ตร. คนที่ 14  ซึ่ง “ศึกสีกากี” ยังไม่มีทีท่าจบลงง่ายๆ ต้องจับตากันต่อไป จะมีเทศกาลเอาคืนหรือไม่ เพราะเข้าทำนอง “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่???” 

ขณะที่ปมร้อนทางการเมือง ในเรื่องของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยังรักษาตัว รพ.ตำรวจ เกิดกระแสทางสังคมว่าป่วยจริงหรือป่วยการเมือง ล่าสุด คณะกรรมาธิการ (กมธ.) สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ที่มี นายสมชาย แสวงการ สว. เป็นประธาน กมธ. เรียก “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-โรงพยาบาลตำรวจ-กระทรวงยุติธรรม-กรมราชทัณฑ์-โรงพยาบาลราชทัณฑ์” ไล่บี้กว่า 3 ชม. ก็ยัง ไม่มีความขัดเจนในเรื่องอาการป่วย แต่มีความชัดเจนในเรื่องของขั้นตอนการพักโทษ ที่นายทักษิณจะครบเงื่อนไข ได้รับการพักโทษ ใน เดือน ก.พ. 67 ภายหลังรับโทษมา 6 เดือน สามารถกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้ โดยไม่ต้องใส่กำไลอีเอ็ม

ทำให้เกิดการตั้งลงคำถามว่า กรณี นายทักษิณ นักโทษซูเปอร์วีไอพี ส่งผลต่อมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรม ไม่เท่าเทียมกัน  สะเทือนถึงการทำงาน ของ “รัฐบาลเศรษฐา” ที่พูดไว้ในระหว่างการแถลงนโยบายรัฐบาล ช่วงวันที่ 11-12 ก.ย. ที่ผ่านมา ว่า “จะทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีความเท่าเทียมในเรื่องความยุติธรรม”

ตรงนี้สังคมต้องจับตาต่อว่า กรณี “ทักษิณ” จะเป็นเอฟเฟกต์ กระเทือน “นายกฯเศรษฐา-รัฐบาล” เพราะถ้าสังคมไม่มีความมั่นใจ ไม่มีความเชื่อมั่นใจการทำงานของรัฐบาลแล้ว ผลงานที่ทำออกมาในเบื้องต้น ที่ทำออกมาค่อนข้างได้ใจชาวบ้าน อาทิ การแก้ปัญหาค่าครองชีพ ลดค่าไฟฟ้า ลดค่าน้ำมันดีเซล พักหนี้เกษตรกร เป็นต้น รวมไปถึงการโกอินเตอร์ไปสหรัฐ ดึงนักลงทุนจากต่างชาติมาที่ประเทศไทย ก็อาจเสียเวลาเปล่า

ขณะที่โครงการสำคัญเดิมพันรัฐบาลชุดนี้ อย่าง ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ก็ยังไม่มีความชัดเจน ถึงแหล่งที่มาของเงินงบประมาณในโครงการฯ นี้ “นายกฯ” และผู้เกี่ยวข้อง ก็ยังอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่พูดถึงแหล่งงบประมาณที่จะนำมาใช้ ได้แต่ตีกรรเชียง ให้รอความชัดเจน  กระทรวงการคลัง ทำให้ “อ.ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาแฉ ว่า รัฐบาลมีแผนจะทุบกระปุกเอาเงินเด็กจำนวน 5.6 แสนล้านบาท จากธนาคารออมสิน มาใช้ดำเนินการในโครงการฯ ดังกล่าว โดยการขยายกรอบวินัยการเงินการคลังตาม ม.28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ขึ้นไปเป็น 45% ของงบปี 67 จากเดิม 32% ไม่ได้มาจากงบประมาณตามที่ได้หาเสียง ถึงแม้จะไม่เป็นหนี้สาธารณะ แต่กระทบวินัยการเงินการคลัง ไร้การตรวจสอบ เพราะไม่ต้องผ่านสภา กระทบเม็ดเงินพัฒนาประเทศ

ถ้าโครงการฯ ที่เป็นหัวใจหลักของรัฐบาล ดำเนินการแบบมีข้อครหา ก็อาจส่งผลต่อเสถียรภาพรัฐบาลได้ทันที.