ทีมชาติไทย ทำผลงานได้ในเกณฑ์ดีกับศึกคิงส์คัพ ครั้งที่ 49 ที่เชียงใหม่
เจอกับ เลบานอน, อิรัก ที่อันดับโลกสูงกว่า และมาตรฐานดีกว่า รวมทั้งมาจริง เอาจริง ไม่ได้มาเน้นเที่ยว แต่สามารถสู้ได้เท่าๆ กัน
ระบบ ทรงบอลที่ยืดหยุ่นได้ จังหวะเข้าทำสวยๆ การแก้เพรสซิ่งคู่แข่ง, แจ้งเกิดของ นิโคลัส มิคเกลสัน, ได้เห็น กฤษดา กาแมน เล่นกลางสักที
อย่างไรก็ตามรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่พอเจอทีมใหญ่ แล้วแม้จะเล่นดี แต่ไม่สามารถเปลี่ยนการ “เล่นดี” เป็น “ชัยชนะ” ได้ ยังเกิดขึ้น
สมาธิ ระเบียบวินัย ความเก๋า ถือปัจจัย
มาโน โพลกิง ได้รับเสียงชื่นชมมากกว่าด่า เพราะจากรูปเกมที่ออกมาก็ผ่านแล้วล่ะ ขาดแค่ถ้วยแชมป์เท่านั้น
“มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ก็ชมว่าทำดี บอกว่า มาโน จะคุมทีมต่อไป เพราะมีสัญญาถึงเดือน ก.พ.
ก่อนหน้านี้ มาดามแป้ง ตั้ง มาซาทาดะ อิชิอิ มาเป็นประธานเทคนิค โดย นายเนวิน ชิดชอบ สนับสนุนส่งให้ จ่ายเงินเดือนให้ ใจดีมาก
มาช่วยงานกัน ถ้าประยุกต์กับสุภาษิตไทย ทำนอง “โค้ชเดียวหัวหาย สองโค้ชเพื่อนตาย”
แต่คนทั่วไปตีความกันว่า นี่คือการพา อิชิอิ มาจ่อคอหอย พร้อมขึ้นกุนซือแทน เมาท์กันหนัก วางแผนไว้แล้ว จบคิงส์คัพ คือจบมาโน และ อิชิอิ จะรับช่วงต่อทันที ฟีฟ่าเดย์เยือนยุโรปเดือน ต.ค. ต่อด้วยงานใหญ่คัดบอลโลก เดือน พ.ย., เอเชี่ยนคัพ ต้นปีหน้า
คิดกันไปเองหรือเปล่า…ก็เป็นไปได้ มาดามแป้ง ไม่ได้พูดแบบนั้นสักคำ ว่าจะเอา อิชิอิ มาต่อจาก มาโน แค่ให้มาทำงานด้วยกัน (ก็แน่ล่ะ ใครจะพูด)
แฟนบอล สื่อมวลชน คงคิดไปเอง แต่ที่สำคัญคือ มาโน ก็เหมือนจะคิดแบบนั้นด้วย
มาโน ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่จากที่ดูลักษณะท่าทางการสัมภาษณ์ ภาษากาย มันปิดไม่มิด หรือ มาโน อาจจะต้องการแสดงออกแบบไม่พูดก็ได้
การให้สัมภาษณ์ตั้งแต่ช่วงแรก เพิ่งรู้ (แสดงว่าไม่ได้ถามก่อนตั้ง), ไม่ได้คุยกัน, ข้อมูล อิชิอิ ส่งมาก็รับๆ ไว้ แต่ใช้ข้อมูลตัวเอง, แบ่งงานแล้วก็จริง ถ้าไม่ทับเส้นกัน ทำตามที่คุยก็ร่วมงานกันได้
แถมมี “ฟาด” สโมสรเรื่องปล่อยตัวนักเตะ
น้ำเสียงแนวๆ ทุบโต๊ะดุดัน หน้าเครียด (ผมถามว่าเครียดมั้ย มาโน ตอบด้วยสีหน้าเครียดว่า “ไม่เครียด”)
ระหว่างซ้อม หรือแข่ง อิชิอิ (กับ จเด็จ มีลาภ ที่ถูกส่งไปช่วยงาน) จะเดินดุ่มๆ เหมือนเป็นคนนอกขึ้นไปสู่อัฒจันทร์ ทำงานของตัวเองไป ไม่พูดไม่คุยกับใคร
อันนี้เท่าที่เห็น
ส่วนที่ไม่เห็นแว่วว่า อยู่เชียงใหม่ อิชิอิ นอนคนละโรงแรมกับทีม นี่ไม่มีวาระแอบแฝง แค่ส่งชื่อตามไปทีหลังแล้วโรงแรมเต็ม
แต่ก็จะมาเจอกันตอนกินข้าว ต่างคนต่างอยู่ ไม่พูด ไม่คุย ไม่อะไรกันทั้งสิ้น
“อะไรเอ่ยไม่เข้าพวก” ประมาณนั้น
“สองโค้ช” เลยไม่เป็น “เพื่อนตาย” (แต่เพื่อนๆ รอบข้าง อาจเครียดตาย)
มองมุมดี ต่างคนต่างทำงานกันไป มืออาชีพ
มองอีกมุม ฟุตบอลคือกีฬาทีม เรื่องของการเข้าสังคมก็สำคัญ เพื่อประสานเป็นทีมเดียว
แต่นี่เหมือนไปคนละทาง ถึงบอกว่าทำงานกันได้ แต่มีความสุขหรือเปล่า
คือไม่มีความสุขทั้ง 2 ฝ่าย คนหนึ่งเหมือนโดนจับผิด อีกคนเป็นเหมือน “ตัวประหลาด” (ทั้งที่เป็นแม่ทัพทีมอันดับ 1 ของไทยอยู่ดีๆ)
จริงๆ ถ้าปักธงจะปลด มาโน แล้วตั้ง อิชิอิ ก็ควรกลั้นใจทำแต่แรก ดีกว่ามาหาจังหวะและโอกาสเอาข้างหน้า
สถานการณ์มาแบบนี้เลยค้างคากันอยู่แบบนี้
จะเปลี่ยนโค้ชก็สถานการณ์ก็ไม่อำนวย ที่สำคัญ ธีราทร บุญมาทัน ก็มาบอกว่านักเตะสนับสนุนมาโน
ครั้นจะให้ช่วยงานกัน แต่เข้ากันไม่ได้
เลยกึกกักยักแย่ยักยัน กลายเป็นตั้ง อิชิอิ มาเพิ่มความเครียด
ทีนี้จะแก้อย่างไร ถอดสลัก ปลดล็อก เลือกอะไรก็เอาสักอย่าง หากไม่เปลี่ยนโค้ชเลย ก็ต้องจับเข่าคุยมาโน-อิชิอิ (ถ้าคุยได้) ไม่ก็เลิกโมเดล “โค้ชซ้อนโค้ช” ทางใครทางมัน
คาไว้แบบนี้ แทนที่จะเกิดประโยชน์ ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะตรงกันข้าม.
*** วุฒินล ***