ทำเนียบขาวแสดงท่าทีชัดเจนตั้งแต่ยุคของประธานาธิบดีบารัค โอบามา จนมาถึงผู้นำคนปัจจุบัน คือประธานาธิบดีโจ ไบเดน ว่าต้องการปิดเรือนจำกวนตานาโม ที่ตั้งอยู่บนอ่าวกวนตานาโม ในคิวบา ซึ่งเปิดเมื่อปี 2545 ตามนโยบายของผู้นำคนก่อนหน้า คือประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช แต่จนถึงปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นพื้นที่ควบคุมตัวชาย 39 คน ซึ่งไม่เคยถูกฟ้องร้องดำเนินคดี "ตามหลักกฎหมายสากล" และยังไม่มีใครรู้ว่า ชายกลุ่มนี้ ซึ่งถือเป็น "บุคคลอันตรายถึงขีดสุด" จะได้ออกจากสถานที่แห่งนี้เมื่อใด
เข่นเดียวกับการยุติภารกิจทางทหารในอัฟกานิสถานอันยาวนาน 20 ปี ซึ่งท้ายที่สุดแล้วเป็นไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย การปิดเรือนจำกวนตานาโม "อย่างถาวร" เป็นงานซับซ้อนสำหรับไบเดน เพราะยังมีคำถามมากมายที่สหรัฐไม่สามารถตอบได้ว่า รัฐบาลวอชิงตันพร้อมปล่อยตัวกลุ่มคนเหล่านี้หรือไม่?
หนึ่งในผู้ที่ยังคงอยู่ในเรือนจำกวนตานาโม เป็นชายชาวปากีสถาน วัย 74 ปี อายุมากที่สุดในบรรดานักโทษที่ยังเหลืออยู่ แม้อยู่ในสถานะ "ปลอดภัย" สำหรับการปล่อยตัว แต่อีกปัญหาใหญ่คือ นักโทษมีอาการของโรคหัวใจ และยังมีอาการป่วยเรื้อรังอีกหลายโรค ขณะที่นักโทษที่เหลือ "อยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่แตกต่างกัน" ทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ หลายฝ่ายเรียกร้องว่า หากการปิดเรือนจำแห่งนี้ไม่สามารถเป็นไปได้ตามแผนการ รัฐบาลสหรัฐต้องมีความชัดเจนกว่านี้ ว่าจะมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่กลุ่มคนเหล่านี้อย่างไรด้วย
นับตั้งแต่การเปิดทำการของเรือนจำกวนตานาโม มีนักโทษเสียชีวิตแล้ว 9 คน แบ่งเป็น "การเสียชีวิตตามธรรมชาติ" 2 คน แต่อีก 7 คนที่เหลือ "เสียชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ" ที่ผลการชันสูตรระบุว่า เป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรม ทว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง เรื่องนี้ "ไม่เหนือความคาดหมาย" เพราะรัฐบาลวอชิงตันไม่ได้มีแผนการระยะยาวต่อสถานที่แห่งนี้
รัฐบาลบุชให้คำนิยามนักโทษที่เรือนจำกวนตานาโม "ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าคนแบบนี้" ซึ่งไม่ใช่เชลยสงคราม แต่เป็น "ศัตรูที่ผิดกฎหมาย" และ "สหรัฐทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ" แต่เมื่อปรากฏภาพ "ความโหดร้ายทารุณ" ของเจ้าหน้าที่ ซึ่งรวมถึงวิธีสอบปากคำตามแบบของสำนักข่าวกรองกลาง ( ซีไอเอ ) และสภาพความเป็นอยู่ภายในเรือนจำออกมาอย่างต่อเนื่อง กระแสสังคมโลกเริ่มตีกลับ ในที่สุด บุชสั่งปล่อยนักโทษ 532 คน โอบามา 197 คน ส่วนทรัมป์สั่งปล่อยเพียงคนเดียว เป็นชาวซาอุดีอาระเบีย
ทั้งนี้ เคยมีข้อเสนอให้โอนย้ายคดีของนักโทษบางส่วน จากศาลทหารมายังศาลพลเรือน เพื่อให้ง่ายแก่การย้ายตัวหรือปล่อยตัว ขณะที่สภาคองเกรสเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลเร่งปิดเรือนจำแห่งนี้ ด้วยการตัดงบประมาณสนับสนุน และยกเลิกกฎห้ามย้ายนักโทษกวนตานาโมเข้ามาในเรือนจำของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวยังคงไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ และยังไม่แน่ชัดด้วยว่า การกดดันของสภาคองเกรสจะกระตุ้นอะไรได้หรือไม่ เมื่อในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มตาลีบันประกาศการตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลของอัฟกานิสถาน และรัฐมนตรีหลายคนเคยใช้ชีวิตที่เรือนจำกวนตานาโมมาก่อน.
เครดิตภาพ : AP