นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการ ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษา “10 ปี ชาวนาไทย : จนเพิ่ม หนี้ท่วม” ว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ข้าวไทยอยู่ในวังวนของการแทรกแซงตลาด ทั้งการรับจำนำ และการประกันรายได้เกษตรกร มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การผลิต และการตลาดข้าวไทยไม่ได้รับการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ชาวนาไทยยากจนที่สุดในเอเชีย และในอาเซียน เมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่างอินเดีย เวียดนาม และเมียนมา เพราะมีต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับสูงมาก แต่ศักยภาพการผลิตต่ำที่สุด ผลผลิตต่อไร่ต่ำที่สุด รายได้ต่ำที่สุด และเงินเหลือในกระเป๋าติดลบ นอกจากนี้ ยังมีรายได้ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ปลูกทุเรียน ปาล์มน้ำมัน และยางพารา

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาเปรียบเทียบชาวนาไทย อินเดีย เวียดนาม และเมียนมาใน 4 ประเด็น คือ ต้นทุนการผลิต เช่น ค่าแรง ค่าปลูก ค่าดูแลรักษา ค่าพันธุ์ ค่าปุ๋ย ค่าเช่าที่ดิน ผลผลิตต่อไร่ รายได้ และเงินเหลือในกระเป๋าช่วงปี 55-65 พบว่า ปี 65 ต้นทุนการผลิตไทย เพิ่ม 2,058 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 5,898 บาท จากปี 55 ที่ 3,839 บาท

อินเดีย เพิ่ม 2,581 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 6,994 บาท จาก 4,412  บาท, เมียนมา เพิ่ม 1,420 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 4,574 บาท จาก 3,154 บาท และเวียดนาม เพิ่มต่ำสุด 1,027 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 5,098 บาท จาก 4,070 บาท

ส่วนผลผลิต ปี 65 ไทยลดลง 18 กิโลกรัม (กก.) ต่อไร่ มาอยู่ที่ 445 กก. จาก 463 กก., อินเดีย เพิ่ม 133.6 กก. มาอยู่ที่ 1,107 กก. จาก 973 กก., เวียดนาม เพิ่ม 78.2 กก. มาอยู่ที่ 978 กก. จาก 900 กก. และเมียนมา เพิ่ม 170 กก. มาอยู่ที่ 664 กก. จาก 494  กก. ขณะที่รายได้ และเงินเหลือในกระเป๋า ไทย รายได้ลด 778 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 3,900 บาท จาก 4,678 บาท และเงินในกระเป๋า หายไป 1,160 บาทต่อไร่ จากที่มีเหลือ 838 บาท 

สำหรับอินเดีย รายได้เพิ่ม 1,817 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 11,116 บาท จาก 9,298 บาท และเงินหายไป 764 บาทต่อไร่ มีเงินเหลือ 4,122 บาท จาก 4,886 บาท, เวียดนาม รายได้ เพิ่ม 69 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 8,321 บาท จาก 8,252 บาท เงินเหลือในกระเป๋า ลดลง 958 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 3,223 บาท จาก 4,181 บาท และเมียนมา รายได้เพิ่ม 1,421 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 5,953 บาท จาก 4,532 บาท และมีเงินเหลือเพิ่ม 1.3 บาทต่อไร่ มาอยู่ที่ 1,379 บาท จาก 1,378  บาท

นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับผู้ปลูก ทุเรียน ยางพารา และปาล์มน้ำมัน พบว่า ชาวนามีรายได้ต่ำที่สุด และมีรายได้คงที่เฉลี่ย 3,600-4,500 บาทต่อไร่ ขณะที่ผู้ปลูกทุเรียน มีรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และมีรายได้สูงสุดที่ 33,531 บาทต่อไร ตามด้วย ปาล์มน้ำมัน 24,451 บาทต่อไร่ และยางพารา 11,367 บาทต่อไร่

ทั้งนี้ ข้าวไทยวนเวียนอยู่ในวงจรอุบาทว์ คือ มีต้นทุนการผลิตสูง ผลผลิตต่อไร่ต่ำ รายได้ต่ำ ทำให้ชาวนามีหนี้สินเพิ่มขึ้น โดยหนี้มาจากการกู้ยืมสหกรณ์ สถาบันการเงิน ร้านขายปัจจัยการผลิต เมื่อขายผลผลิตได้แล้วก็เอาเงินไปใช้หนี้ แต่ไม่เพียงพอ ทางปลดหนี้คือ ขายที่นาของตนเอง เอาเงินใช้หนี้แล้วเช่าที่นาของตนเองทำนาต่อ จากนั้นก็เข้าสู่วงจรอุบาทว์เหมือนเดิม ยิ่งทำนา ยิ่งหนี้เพิ่ม

“ฝากรัฐบาลใหม่ ต้องแก้ปัญหาชาวนา และข้าวให้ตรงจุด เปรียบเทียบกับคู่แข่งเขาประสบความสำเร็จได้อย่างไร โดยรัฐอาจให้รางวัลคนที่เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนผลิต มากกว่าการแทรกแซง รวมถึงต้องปฏิรูปข้าวแบบวงจร โดยเอา 10 จุดอับมาแก้ไข ถ้าทำได้ ข้าวไทยมีอนาคตแน่นอน แต่ถ้าไม่ทำ จะสายเกินไป และข้าวไทยจะถดถอยลงเรื่อยๆ”