แอซเมห์ ดาวูด พี่สาวคนโตของ ชาห์ซาดา ดาวูด มหาเศรษฐีนักธุรกิจและนักลงทุนชาวปากีสถาน เจ้าของให้สัมภาษณ์นักข่าวจากสถานีเอ็นบีซีนิวส์ หลังจากทีมกู้ภัยนานาชาติค้นพบเศษซากของเรือดำน้ำไททัน ที่คาดว่าเกิดระเบิดจากแรงดันน้ำ และผู้โดยสารรวมถึงคนขับเรือ 5 ราย เสียชีวิตทั้งหมด

แอซเมห์ เล่าทางโทรศัพท์จากบ้านของเธอในกรุงอัมสเตอร์ดัมว่า สุเลมาน หลานชายวัย 19 ปีของเธอ ที่ร่วมเดินทางไปกับพ่อของเขาในทริปมรณะครั้งนี้ “ไม่ได้นึกอยากไปด้วยเท่าไหร่นัก” รวมทั้งแสดงความรู้สึกหวาดกลัวและกังวลอย่างมาก

แต่สุดท้าย หนุ่มน้อยก็ตัดสินใจร่วมเดินทางไปกับพ่อของเขา เนื่องจากกำหนดการทริปนี้ตรงกับช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เป็นวันพ่อด้วย เขาจึงไปด้วยเพราะอยากจะเอาใจคนเป็นพ่อ 

หัวใจของ แอซเมห์ แหลกสลาย เมื่อมีการยืนยันจากทางการและจากบริษัทโอเชียนเกต เจ้าของเรือไททันว่า ผู้โดยสารทั้ง 5 คน เสียชีวิต โดยหน่วยรักษาการณ์ชายฝั่งสหรัฐระบุว่า เศษชิ้นส่วนของเรือที่พบในพื้นที่ค้นหา บ่งชี้ว่าเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง

“ฉันรู้สึกว่าไม่อยากเชื่อ” แอซเมห์ กล่าวระคนสะอื้นไห้ “มันเป็นเรื่องที่ดูเหนือจริงมาก”

สุเลมาน (ซ้าย) และ ชาห์ซาดา ดาวูด (ขวา)

อันที่จริง แอซเมห์ ขาดการติดต่อกับ ชาห์ซาดา น้องชายของเธอมานานแล้ว หลังจากที่เธอป่วยเป็นโรคปลอกประสาทเสื่อม และทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอยู่รถเข็นนั่งตั้งแต่ปี 2557 เธอและสามีจึงย้ายบ้านจากอังกฤษ มาอยู่ที่อัมสเตอร์แทน เพื่อให้สะดวกต่อการรักษาแบบแพทย์แผนทางเลือก ซึ่งมีการใช้ยาที่มีส่วนผสมของกัญชา

ชาห์ซาดา น้องชายของเธอและสมาชิกอีกหลายคนในครอบครัว ไม่เห็นด้วยกับวิธีรักษาโรคที่เธอเลือก จากนั้นพวกเขาก็ติดต่อกันน้อยลง แต่เธอยังคงใกล้ชิดกับ สุเลมาน ผู้เป็นหลานชาย ซึ่งเธอบรรยายไว้ว่า เป็นคนหนุ่มที่ “จิตใจดี”

แต่เมื่อได้รับรู้ข่าวการเสียชีวิตของสองพ่อลูก แอซเมห์ จึงตระหนักว่า เธอยังคงรักน้องชายไม่เปลี่ยนแปลง “เขาเป็นน้องน้อยของฉัน” เธอกล่าวพร้อมเสียงสะอื้น “ฉันเคยอุ้มเขา ตอนที่แม่เพิ่งคลอดเขาออกมา” 

แอซเมห์ ยังเล่าว่า น้องชายของเธอมีความ “หลงใหลอย่างที่สุด” ต่อเรือไททานิก ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นวัยรุ่น ตอนที่พวกเขายังเป็นเด็กและยังใช้ชีวิตอยู่ในปากีสถาน พี่น้องดาวูดมักจะชอบดูภาพยนตร์ปี 2501 เรื่อง A Night To Remeber ซึ่งเป็นภาพยนตร์ดราม่าย้อนยุคสัญชาติอังกฤษ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับคืนที่เรือไททานิกจม

แม้กระทั่งตอนที่ ชาห์ซาดา ได้พบกับสามีของเธอ เขาก็ชวนสามีเธอนั่งชมภาพยนตร์สารคดีความยาว 4 ชม. เกี่ยวกับเรือไททานิก เขายังชื่นชอบการเที่ยวตระเวนดูนิทรรศการเกี่ยวกับเรือไททานิก ตามพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ อีกด้วย ดังนั้น เธอจึงไม่แปลกใจที่เขาตัดสินใจซื้อทัวร์เที่ยวชมซากเรือไททานิกในครั้งนี้ ซึ่งกลายเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา 

แหล่งข่าว : nbcnews.com

เครดิตภาพ : AFP