เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยความคืบหน้าการแก้ปัญหาการแก้ปัญหาส่วย ว่า ที่ผ่านมาเราไม่มีการเรียงลำดับว่าจะตรวจสอบเรื่องไหน ทุกคนอาจจะคิดว่าเรามีข้อมูลอยู่ในมือ แล้วเลือกหยิบออกมาทีละชิ้นๆ ซึ่งไม่ใช่เลย เพราะตอนนี้มันน่ากลัวขนาดที่ว่าเราแตะไปตรงไหนมันก็เจอ เหมือนกองขยะที่เอาพรมแดงมาปู เลิกไปตรงไหนก็เจอตรงนั้น ไม่ต้องไปแกะรอยหรือไปเจาะอะไรเลย แค่ตั้งคำถามแล้วใช้สามัญสำนึกขั้นพื้นฐานของปุถุชนคนหนึ่ง ก็พบสิ่งผิดปกติโดยทันทีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกรณีรถบรรทุกที่ประชาชนให้เบาะแส หรือการนำเข้าเนื้อหมูเถื่อน ที่อุตส่าห์อายัดมาได้ 100 กว่าตู้ แล้วทุกวันนี้ก็เสียบปลั๊กจ่ายค่าไฟ ทำไมไม่เร่งดำเนินการในการทำลาย และตรวจสอบหาคนผิดมาดำเนินคดี  

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ทั้งนี้ตนได้คำตอบว่า ต้นตอของปัญหาส่วยทั้งหมดทั้งมวลมาจากการซื้อขายตำแหน่ง มาจากระบบตั๋ว มาจากต้นทุนที่ข้าราชการระดับบังคับบัญชาต้องแบก มาจากกระบวนการที่ไม่ถูกต้อง ที่ต้องเอาเงินไปซื้อตำแหน่งมา แล้วเงินที่เอาไปซื้อตำแหน่ง ก็ไม่ใช่เงินตัวเอง แต่มาจากสปอนเซอร์ที่เป็นมาเฟียสีเทา มาเฟียจีนเทา สิ่งที่เกิดตามมาคือทั้งปัญหายาเสพติด ค้ามนุษย์ บ่อนเถื่อน เว็บพนัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คำถามคือวันนี้ลูกน้องมีสิทธิจะไม่ทำตามนายสั่งหรือไม่ ถ้าไม่เอาก็จะเป็นภัย แล้วจะทำอย่างไร คือมันก็ท้อใจสำหรับข้าราชการที่เขาต้องการทำงานโดยสุจริต มันเบ่งบาน รัฐบาลอยู่มา 9 ปี แต่เดิม 3-4 ปี เปลี่ยนรัฐบาลที มีการปรับอำนาจ มันจะไม่มีใครมานั่งทับขี้นาน แต่ 9 ปีที่ผ่านมา พอเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนเป็นลูกน้องของตัวเองเป็นรุ่นๆ ไป ระบบส่วยมันได้ไม่ส่งแค่หัวหน้ารุ่น มันยังส่งไปถึงคนเก่าแก่คนเก่าก่อนที่เกษียณไปแล้วด้วย มันทำให้มูลค่าส่วยและระบบการส่งมันพันลึกซับซ้อนเต็มไปหมด ดังนั้นการจะแก้จริงๆ คือการเปิดเผยข้อมูลให้โปร่งใสให้ได้  

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ขณะนี้เรียกว่าปัญหาเกิดขึ้นทุกอณูทุกกระทรวง ทบวง กรม อย่าบอกว่าเริ่มจากกระทรวงไหนเลย มันแตะไปก็เจอปัญหา ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจาก 1.การขอใบอนุญาต 2.การต่อทะเบียน ทุกครั้งที่มีการจดทะเบียนมันมีระบบใต้โต๊ะทั้งนั้น ส่วนมีหน่วยงานใดบ้างที่น่าจับตาในเรื่องนี้เป็นพิเศษนั้น ตนคิดว่า เช่น กรมศุลกากร ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง กรมสรรพสามิต ซึ่งที่ผ่านมาเพิ่งมีการตรวจรถบรรทุกขนน้ำมันเถื่อน 1.5 หมื่นลิตร  

“หรือแม้กระทั่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็มีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องของการทุจริตเงินทอนวัด ที่กลับมาอีกครั้ง คือมันบาปหนามาก หนึ่งคือไม่สังวรว่าตัวเองอยู่ในหน่วยงานใด มีภารกิจใด สำนักงานพระพุทธฯ คือจรรโลงพระศาสนา แต่ปรากฏยังเอาเงินทอนเอาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น และที่บาปหนากว่านั้นคือ คุณทำให้พระผู้ใหญ่ที่มีจริยวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาตลอด ต้องมลทินจากการกระทำอันบาปช้าของคุณด้วย สุดท้ายผมอนุโมทนาที่พระคุณเจ้าต่างๆ ได้รับความเป็นธรรม แต่มันเรียกคืนความเป็นธรรมกลับมาตั้งแต่ต้นทางไม่ได้ แม้มีข้าราชการถูกดำเนินคดีไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เข็ด สำนักงานพระพุทธฯ มีคนระดับ ผอ. ต้องคดีหลายคน จนต้องเอามือทาบอกว่ามันควรจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในสำนักงานพระพุทธฯ หรือไม่” นายวิโรจน์ กล่าว 

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ล่าสุดมีเบาะแสมาอีก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก คืออาจจะมีข้าราชการของกรมบัญชีกลางบางกลุ่มบางคน ขายข้อมูลการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง คือเอื้อประโยชน์ให้กับผู้รับเหมาบางรายในการประมูลจัดซื้อจัดจ้างให้ได้งาน เมื่อฮั้วประมูลไม่ได้ แต่อยากจะรู้ข้อมูลของผู้แข่งขันก็ต้องซื้อข้อมูล และคนที่ถือข้อมูลเหล่านั้น ก็คือกรมบัญชีกลาง พอรู้ว่าตัวเลขเท่าไรก็ฟันราคาเลย อาจจะตัดราคาลงไปอีกสัก 5 หมื่นบาท เป็นต้น เรามีเบาะแสทั้งในเรื่องการวิ่งเต้นต่างๆ แต่เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการที่เขาดีมันก็มี  

“อย่างไรก็ตามคนในนั่นเอง ที่เก็บหลักฐานไว้เยอะที่สุด ที่ให้เราสาวได้ถึงต้นตอ จึงต้องมีกฎหมายที่ออกมาคุ้มครองปกป้องผู้เปิดโปง หรือผู้ให้เบาะแสการทุจริต กฎหมายนี้จะคุมไม่ให้การทุจริตคอร์รัปชั่นเบ่งบานจนกลายเป็นมาเฟีย เพราะเป็นมาเฟียเมื่อไรมันก็แก้ปัญหายากแล้ว พวกนี้ไม่กลัวตำรวจ ป.ป.ช. หรือรัฐมนตรี มันมีจีนสีเทาที่มีเงินเป็นหมื่นล้านบาท เข้านอกออกใน จ่ายเงินคนนั้นคนนี้ ไม่กลัวแม้กระทั่งรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้อย่าไปโทษสถานทูตจีน เพราะเขาก็กำลังตามล่าคนเหล่านี้อยู่ ซึ่งถ้ากลับไปประเทศจีนก็มีโทษถึงประหาร แต่วันนี้ติดปัญหา เพราะคนเหล่านี้มีสัญชาติไทยแล้ว ดังนั้นถ้ามีแบบนี้ขึ้นมาอีกก็เป็นเรื่องลำบาก วันนี้จึงต้องเอาเรื่องกฎหมายและเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ปัญหาต่อไป” นายวิโรจน์ กล่าว