เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยความคืบหน้าการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กรณีการค้ำประกันเงินกู้ 460 ล้านบาท ว่า ป.ป.ช. ได้มีการตรวจสอบพบว่า นายพิธาได้เคยยื่นการค้ำประกันเงินกู้เข้ามา 1 ก้อน ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นก้อนเดียวกันหรือไม่ ต้องขอเวลาตรวจสอบก่อนว่าเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ยังไม่เคยมีใครร้องเรียนเรื่องนี้เข้ามา  

เมื่อถามว่าเมื่อมีการค้ำประกันแล้ว ไม่ได้แจ้งบัญชีทรัพย์สินจะมีความผิดหรือไม่นั้น นายนิวัติไชย กล่าวว่า การค้ำประกันถือว่ายังไม่มีหนี้ที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงสิทธิจากการกู้ยืมเงิน หากลูกหนี้ตัวจริงผิดนัดชำระ ก็จะไปเรียกจากคนค้ำประกันที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบ แต่ตอนนี้ เป็นสิทธิของลูกหนี้กับผู้ค้ำประกันเท่านั้น ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ ป.ป.ช. ต้องพิจารณาว่าจำเป็นต้องยื่นรายการนี้ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ ตามหลักการยื่นบัญชีทรัพย์สินตามกฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า ให้ยื่นเฉพาะรับตำแหน่ง กับพ้นตำแหน่งใน 30 วันเท่านั้น แต่ระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง หากมีความผิดปกติ ก็เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่ต้องตรวจสอบที่มาของรายได้ และหนี้สิน

เมื่อถามว่าจากนี้จะมีการเรียกนายพิธาเข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ นายนิวัติไชย กล่าวว่า การตรวจสอบเป็นไปตามขั้นตอนปกติ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เช่น ถ้ามีการยื่นบัญชีทรัพย์สินเข้ามา ต้องดูว่าเป็นทรัพย์สินจริงหรือไม่ เป็นของใคร ส่วนจะมีปัญหาในภายหลังหรือไม่ ตนยังตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ป.ป.ช.

ส่วนกรณีการถือหุ้นบริษัทไอทีวีของนายพิธานั้น จากการตรวจสอบเบื้องต้นเป็นชื่อของนายพิธาจริง ถือครองหุ้นอยู่ 4.2 หมื่นหุ้น มูลค่า 4 หมื่นกว่าบาท ซึ่งต้องตรวจสอบอีกครั้งว่ายื่นมาในฐานะอะไร เนื่องจากว่ามีรายงานว่าเป็นผู้จัดการมรดก โดยตามกฎหมายหากเป็นเจ้าของก็ต้องยื่น ส่วนกรณีหากมีการยื่นในภายหลังอาจจะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ ต้องดูที่เจตนาตนไม่สามารถตอบได้ เพราะต้องมีเรื่องเจตนา และระยะเวลา ขณะที่การตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า ได้ยื่นบัญชีดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 62 เป็นการยื่นเพิ่มเติมภายหลังเข้ารับตำแหน่งแล้ว ไม่ใช่เป็นการยื่นหลังมีประเด็นแล้ว

“หน้าที่หรือคุณสมบัติต้องห้าม ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของ ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช. มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้อง การมีอยู่จริงของทรัพย์สิน ถ้ามีอยู่แล้วยื่นมาถือว่าไม่ได้มีเจตนาปกปิด แต่ถ้ามีแล้วไม่ยื่น ถือว่ามีเจตนาหรือจงใจปกปิด ส่วนหลังตรวจสอบแล้วบัญชีทรัพย์สินจะขัดกับคุณสมบัติการเป็น ส.ส. หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตรวจสอบของ กกต. ซึ่ง กกต. รับทราบและอยู่ระหว่างการพิจารณา” 

นายนิวัติไชย ยังกล่าวถึงกรณีนายพิธาให้สัมภาษณ์ว่า หากจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ จะมีการรื้อองค์องค์กรอิสระที่ไม่อิสระจริงๆ ว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจของสภา ตนไม่สามารถให้ความเห็นได้ เขามีอำนาจว่าจะปรับปรุงแก้ไขกฎหมายหรือปรับปรุงอำนาจหน้าที่ขององค์กรอิสระอย่างไร ส่วนที่นายพิธามองว่าองค์กรอิสระถูกครอบงำนั้น ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน แต่อยากให้ดูผลงานของแต่ละองค์กรว่าเป็นอย่างไร ซึ่งการกระทำดังกล่าวต้องมีการวิเคราะห์ถึงที่มาที่ไป ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ทำมาแล้วจะสูญเปล่า โดยเฉพาะงบประมาณที่ใช้ไป.