เมื่อวันที่ 2 มิ.ย. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวว่า ได้ข้อยุติในเรื่องส่งบุคคลเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่า นพ.ชลน่าน ได้ออกมาบอกผ่านทวิตเตอร์แล้วว่า คำว่าจบแล้วมีนิยามของมันอยู่ ไม่ได้หมายความว่าจบที่ตัวบุคคล แต่ในความขัดแย้งมีกระบวนการในการแก้ไขปัญหา ว่าจะทำอย่างไรให้เป็นประธานสภาของประชาชน ดังนั้นคงมีการพูดคุยกัน โดยยืนยันการให้สัมภาษณ์ของนายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ที่เป็นทีมเจรจาบอกว่า จะมีความชัดเจนในช่วงกลางเดือน มิ.ย. นี้ และสิ่งที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ โพสต์เอาไว้ไม่เป็นความจริง

ส่วนกรณีถูกร้องเรียนกล่าวหาการถือครองหุ้นสื่อของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ในชั้น กกต. นั้น นายพิธา กล่าวว่า ได้ตรวจสอบกับทางพรรคแล้ว ขณะนี้ กกต. ยังไม่มีการเรียกเข้าชี้แจง พร้อมย้ำว่า หากตัดสินกันอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมทั้งเรื่องหลักฐาน และเรื่องทางกฎหมาย คิดว่าไม่มีอะไรน่ากังวล

เมื่อถามว่ามีการคาดการณ์ว่า กกต. จะรับรอง ส.ส. ได้กลางเดือน มิ.ย. หากไม่สามารถรับรอง ส.ส. ของพรรคก้าวไกลได้ทั้ง 151 คน จะส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่นั้น นายพิธา กล่าวว่า เข้าใจว่าตามกฎหมายจะรับรองได้ช้าสุดในวันที่ 13 ก.ค. หากช้าไปก็ติดกระดุมเม็ดแรกไม่ได้ ไม่สามารถเปิดประชุมสภา เลือกประธานและรองประธานสภาได้ จะตั้งรัฐบาลไม่ได้ จะทำให้ประชาชนเรียกร้องให้ กกต. ทำให้เร็วมากขึ้น จะยิ่งเป็นประโยชน์กับประชาชน

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่ว่าที่ ส.ส. ของพรรคก้าวไกลถูกร้องเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่อาจส่งผลให้ กกต. ไม่ประกาศรับรองบ้างหรือไม่ อาจทำให้ตัวเลข ส.ส. ไม่ถึง 151 คนนั้น นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่เห็นมีเรื่องของ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ว่าที่ ส.ส.ปทุมธานี แต่น่าจะเป็นคดีเกี่ยวกับมาตรา 112 ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียดกับทีมกฎหมายว่ามีประเด็นอะไรบ้าง แต่ก็ต้องให้กำลังใจกับ น.ส.ชลธิชา ที่ขึ้นศาลโดยไม่มีทนายในคดีนี้ และหวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี ได้เข้าไปทำงานรับใช้ชาวปทุมธานีร่วมกับเพื่อนว่าที่ ส.ส. คนอื่น ๆ ที่ได้รับเลือกตั้งมา

เมื่อถามถึงกรณี พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา ส.ว. และอดีตเลขาธิการ กกต. โพสต์ยกตัวอย่างว่า หากเป็นหัวหน้าพรรคแต่พ้นสมาชิกภาพ ส.ส. คดีหุ้นสื่อ จะไม่มีผลสืบเนื่องต่อการรับรองการส่ง ส.ส. ของพรรค นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายละเอียดเรื่องนี้ อาจจะยังให้ความเห็นไม่ได้ แต่ฟังจากความเห็นของนักวิชาการและ อดีต กกต. บอกว่ามีกฎหมายที่สามารถพูดได้ ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าใครผิดพลาดอะไร แล้วที่เหลือจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ยังมั่นใจในรายละเอียดของตัวเอง และมั่นใจจะต้องตั้งรัฐบาลได้ ทุกอย่างมีความสม่ำเสมอ มีแนวโน้มที่ดี หาก กกต. รับรองได้เมื่อไหร่ คาดว่าจะประชุมสภาได้โดยเร็ว และตามเวลาจะตั้งรัฐบาลได้

ต่อข้อถามถึงกรณีนายเสกสกล อัตถาวงศ์ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ออกมาเตือนพรรคก้าวไกลที่เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมเก็บของออกจากทำเนียบรัฐบาล ว่าระวังฝันค้าง ยังต้องเจออีกหลายด่านกว่าจะตั้งรัฐบาลได้นั้น นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่ได้ฟังสัมภาษณ์ของนายเสกสกล แต่ได้เห็นการให้สัมภาษณ์ของนายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงขอพูดด้วยความเข้าใจว่า เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจแล้ว ตามปกติคนที่แพ้เลือกตั้งจะต้องยินดีกับผู้ชนะการเลือกตั้ง ยอมแพ้ และส่งมอบงานให้รัฐบาลต่อไป หากเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง คงไม่หลุดไปจากหลักการนี้ แต่อาจมีการพูดคุยกันของสภาล่างกับสภาสูง น่าจะเป็นไปในลักษณะนั้นมากกว่า

เมื่อถามถึงข้อกังวลของประธานสภาแรงงานเรื่องค่าแรง 450 บาทว่า หากรัฐบาลพรรคก้าวไกลไม่สามารถทำได้ใน 100 วันแรก อาจจะมีกลุ่มแรงงานไปยื่นร้อง กกต. กรณีสัญญาว่าจะให้แต่ทำไม่ได้ นายพิธา กล่าวยืนยันว่า ในช่วง 100 วันแรก ตามกฎหมายจะต้องให้ไตรภาคี คือ ลูกจ้าง 5 คน-นายจ้าง 5 คน-ฝ่ายของรัฐ 5 คน พูดคุยกัน หากลูกจ้างเห็นว่าค่าแรง 450 บาท เป็นจำนวนที่เหมาะสม หากจะได้ 10 วันต่อเดือน หรือ 20 วันต่อเดือน ก็ขึ้นอยู่กับระยะเวลาทำงานของแต่ละคน ก็ยังไม่ถึงจำนวน 10,000 บาท

“ขณะนี้ค่าของชีพสูงมากในการใช้ชีวิต จึงเชื่อว่าจะสามารถเป็นไปได้ใน 100 วันแรก จะมีการเจรจากันเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องพูดคุยกับนายจ้างและผู้ประกอบการ ที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรง และเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงาน” นายพิธา กล่าว.