เมื่อวันที่ 6 เม.ย. นายพยนต์ อัศวพิชยนต์ ผวจ.พิจิตร ประสาน พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผบช.ภ.6 และ พล.ต.ต.กำธร จันที ผบก.ภ.จว.พิจิตร สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพทะเล จ.พิจิตร เข้าตรวจสอบเหตุทะเลาะวิวาท บริเวณหน้าวัดหิรัญญาราม (วัดบางคลาน) หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จ.พิจิตร ปรากฏพบชายหญิงสองกลุ่มกว่าร้อยคน กำลังไล่ทำร้ายร่างกายกันอย่างวุ่นวาย จึงรีบเข้าห้ามปราม และประสานเจ้าหน้าที่กู้ภัย ช่วยเหลือนำคนเจ็บทั้งสองฝ่ายส่งโรงพยาบาล

จากการสอบสวนทราบว่า สาเหตุของความขัดแย้งเกิดจากปัญหาในการบริหารงานและเงินของวัด ที่ยืดเยื้อกันมานานหลายปี โดยขณะนี้ทางกรรมการวัดชุดเก่า ยังคงดำเนินการบริหารกิจการในวัด แต่เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา ทางศาลได้มีคำสั่งในคดี ให้มีการส่งมอบทรัพย์สินของวัดแก่กรรมการวัดชุดใหม่ จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างทั้งสองฝ่าย ก่อนเกิดเหตุทางกรรมการวัดชุดใหม่ พยายามเดินทางเข้าไปปฏิบัติงานหน้าที่ แต่ถูกขัดขวาง มีการปิดประตูวัดทุกด้าน ทำให้เหตุการณ์บานปลายถึงขั้นใช้กำลังเข้าทำร้ายกันและกัน

นางโยสิตา ธีรยากร หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บ และเป็นผู้ที่ทางฝ่ายเจ้าอาวาสรูปใหม่แต่งตั้งขึ้น ให้การว่า ทางผู้บาดเจ็บพยายามจะเข้าไปทำงานตามคำสั่งศาล แต่กลับถูกอีกฝ่ายขัดขวาง ด้วยการปิดประตูทางเข้าออกวัดทุกด้าน แม้จะพยายามพูดคุยกันแล้ว แต่กลับเกิดมีปากเสียงกัน จนเกิดการรุมทำร้ายกันจนได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งทางผู้ได้รับบาดเจ็บ ได้มีการเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐานแล้ว ยืนยันว่า คู่กรณีที่ทำร้าย เป็นคนรู้จักที่อยู่ภายในวัดนั่นเอง

น.ส.สุภา อยู่ยืด ประธานองค์กรชุมชนรักษ์วัดหิรัญญาราม ชี้แจงว่า การไม่ยอมให้มีการส่งมอบทรัพย์สินแก่เจ้าอาวาสวัดคนปัจจุบัน เนื่องจากยังคงมีคดีความค้างที่ศาล เรื่องการขอเปลี่ยนตัวผู้รักษาทรัพย์ของวัด แม้จะมีการนัดส่งมอบทรัพย์กันเมื่อวันที่ 5 เม.ย. ก็ตาม แต่เพราะเหตุผลเรื่องการขาดความไว้ใจในตัวเจ้าอาวาสรูปใหม่ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ไม่เป็นไปตามระเบียบการปกครองสงฆ์ จึงอยากขอให้มีการเลื่อนออกไปก่อน เพราะเกรงจะเกิดความเสียหายหลักร้อยล้านบาท จึงมีเหตุจำเป็นที่จะต้องรอฟังผลคดีให้สิ้นกระแสความเสียก่อน

เบื้องต้นนายพยต์ อัศวพิชยนต์ ผวจ.พิจิตร กำชับให้นายอำเภอโพทะเล จัดกำลัง อส. เข้าสมทบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อร่วมอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวและประชาชนที่เดินทางมากราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อน ขณะที่ชุดสืบสวน อยู่ระหว่างไล่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตามขั้นตอนต่อไป.