เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 27 มี.ค. ที่ SITTRA LAW FIRM อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้น 24 ถนนสาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพฯ ทนายษิทรา เปิดเผยว่า การแฉทำเพื่อชาติของนายชูวิทย์เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าทำเพื่อพวกตัวเอง ตนไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม กรณีที่ปรากฏภาพมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ปปง. และอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจยศนายพล นำเงินไปมอบให้นายชูวิทย์ ที่โรงแรมเดอะ เดวิส บางกอก นั้น ทั้งคู่ คือ อดีต ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ยศ พล.ต.ท. อดีตตำรวจนายนี้สนิทกับนายชูวิทย์มานาน กับตำรวจนายพล ยศ พล.ต.ต. ซึ่งนายพลรายนี้ต้องมีความสนิทสนมกับสารวัตรซัวพอสมควร อย่างไรก็ตาม หากวันนี้ตนไม่ยอมออกมาถูกสังคมด่า คนไทยจะคิดว่าเงินก้อนดังกล่าวเป็นเงินของนายชูวิทย์บ้าง เป็นเงินของพรรคพวกนายชูวิทย์ที่ทำธุรกิจสุจริตบ้าง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ นอกจากนี้ หากถามว่าตนจะส่งเรื่องให้ทางสำนักงาน ปปง. ตรวจสอบหรือไม่ ตนมองว่าก็คงตรวจสอบกันไม่ได้

ทนายษิทรา เผยอีกว่า หากอยากรู้ว่าตำรวจสองนายนี้เกี่ยวข้องในวันที่มีการถือถุงเงินมาให้และเขาเกี่ยวอย่างไร คงต้องให้นายชูวิทย์เป็นคนพูด เพราะตนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนถือถุงเงินมา แต่ยืนยันว่า เงินในถุงกระดาษนั้น เป็นเงินของสารวัตรซัวคนเดียว ส่วนประเด็นเรื่องไทม์ไลน์ที่นายชูวิทย์ระบุว่า วันที่ 3 ก.พ. นายชูวิทย์รับเงินมาเพื่อปิดปากเรื่องอาบอบนวด ลาลิซ่า แต่ตนขอให้สื่อและประชาชนไปย้อนดูว่าก่อนวันที่ 3 ก.พ.นั้น นายชูวิทย์ไม่เคยพูดเรื่องลาลิซ่ามาก่อน แสดงว่ามีการคุยกันมาก่อนหรือไม่ ก่อนวันที่ 5 ก.พ. ที่นายชูวิทย์จะมีการโพสต์เฟซบุ๊กถึงถึงนำเงินมาให้ในวันที่ 3 ก.พ. ประเด็นนี้ นายชูวิทย์ควรมาตอบมากกว่า อีกทั้งการแก้ตัวไปเรื่อยๆ ของนายชูวิทย์ก็เหมือนลิงแก้แห อย่างไรก็ตาม ตนขอยืนยันว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวหรือไปเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัวตามที่ถูกดิสเครดิต

ทนายษิทรา เผยอีกว่า นายตำรวจสองรายนี้ค่อนข้างมีความสนิทสนมพอสมควรกับสารวัตรซัว ตนจึงแนะนำให้ทาง ปปง. และตำรวจสอบสวนกลาง ควรมีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน และถ้าหากมีการเรียกตนไปสอบถาม ตนก็ยินดีโดยจะขอให้ตรวจสอบด้วยว่าเงิน 6 ล้านบาท ได้มีการฝากเข้าเข้าบัญชีธนาคารของนายชูวิทย์ก่อนตีเช็คเพื่อบริจาคโรงพยาบาลหรือไม่

ทนายษิทรา เผยต่อว่า นอกจากนี้ ตนยังมีภาพถ่าย 5-6 รูปที่จะนำไปมอบให้ตำรวจ แต่ที่ตนมองว่าตัวเองทำสำเร็จนั้นคือ การที่ นายชูวิทย์ รับสารภาพว่าเงิน 6 ล้านบาทมาจากซัว และนายชูวิทย์ยังได้เจอนายแทนไทจริงๆ ส่วนเรื่องเงินดิจิทัล 50 ล้านต้องให้ทางตำรวจสอบสวนกลางมาตรวจสอบ เพราะตนไม่มีเครื่องมือตรวจสอบ ทั้งนี้ ในเรื่องที่แถลงตนมั่นใจว่าถูกฟ้องในอนาคตแน่นอน แต่ก็พร้อมสู้คดีเพื่อพิสูจน์ แต่สังคมต้องได้รับรู้ข้อเท็จจริง และทราบมาว่านายชูวิทย์จะฟ้อง ขอฝากไปบอกว่า ตนไม่มีเงินถึง 100 ล้าน คงต้องให้นายชูวิทย์ไปฟ้องตนล้มละลายแทน

ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าทนายษิทรา รับงานจากทางพรรคภูมิใจไทยเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นที่ชูวิทย์กำลังโจมตีพรรคเรื่องกัญชาเสรีนั้น ตนมองว่านายชูวิทย์กล่าวหาตนไปเรื่อย ตอนแรกบอกว่าตนรับเงินจากสารวัตรซัว คราวหลังมาบอกว่ารับงานพรรคภูมิใจไทย จะเป็นแบบนั้นไปได้อย่างไรในเมื่อตนยังถูก ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ไล่ฟ้องอยู่เลย แต่ที่ตนนำความจริงมาเปิดโปง ก็เพราะทราบความจริงมาและต้องเอาออกมาเปิดเผยเพื่อให้สังคมรับรู้

“สำหรับนายชูวิทย์ คิดหรือว่าถ้าตนเอาหลักฐานไปให้ไปบอกว่าตนรู้เรื่องนี้มา คิดหรือว่าเขาจะยอมบอก เพราะอย่างที่ทุกคนรู้ ต้องใกล้จวนตัว นายชูวิทย์ถึงจะยอมรับ” ทนายษิทรา ระบุ

เมื่อถามว่า ภาพการมอบเงิน 6 ล้านในถุงกระดาษ มีบุคคลมากกว่า 2 คนหรือไม่ ทนายษิทรา ระบุว่า ในวันนั้นมีคนที่ไปกับทาง ปปง. คนนั้นคือคนที่เกี่ยวข้องกับบ่อนที่มีการยิงกันและมีคนตาย โดยคนนี้เป็นเจ้าของบ่อน และมีความเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัว ซึ่งรูปภาพที่ตนมี ก็ปรากฏว่าอดีตนายตำรวจที่สนิทกัยนายชูวิทย์ มีการยืนถ่ายรูปและยิ้มอย่างชื่นมื่นคล้ายว่าส่งภาพยืนยันให้เจ้าของเงินรับทราบว่ามีการมอบเงินให้เรียบร้อยแล้ว

ทนายษิทรา ยอมรับว่า รู้จักและคุยกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ อดีตผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอดจริง แต่เป็นการรู้จักกันเพียงสองเดือนเอง และทราบว่าทางสายไหมต้องรอดก็ไม่ได้ถล่มชูวิทย์ แล้วตนก็ไม่ได้คุยกับนายเอกภพในเรื่องนี้ เพราะตนเป็นคนอุบไต๋ กลัวถูกชิงการแถลงข่าว และเป็นคนที่ไม่เอาเรื่องไปเล่าให้ใครฟัง ตนมีขั้นตอนการออกมาแถลงสื่ออยู่แล้ว

“ตนกล้าสาบานว่าไม่ได้รับเงิน หากตนรับเงินจากพวกแก๊งพนันและคนใดก็ตามเพื่อมาทำร้ายนายชูวิทย์ ตนขอให้ตัวเองมีอันเป็นไป และขอให้ธุรกิจล่มสลาย” ทนายษิทรา กล่าวสาบาน

ทนายษิทรา ยังระบุด้วยว่า ตนไม่เคยคุยกับนายอัจฉริยะ ตั้งแต่ทะเลาะกันขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่เคยต่อสายขอบคุณที่ออกมาช่วยกันแฉ แต่ครั้งนี้มองว่า นายอัจฉริยะมีความกล้าหาญที่เปิดชื่อนามสกุลและแจ้งความเอาผิด

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทนายษิทรา ได้ต่อสายโทรศัพท์ไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจของจเรตำรวจ เพื่อสอบถามเรื่องที่เคยมีการนัดวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมาว่า จะเข้าให้การเกี่ยวกับกรณีของนายพล จ. แต่กลับถูกทางตำรวจเลื่อนมาตลอด โดยอ้างว่าคณะทำงานมาไม่ครบ และหลังจากวันนั้นก็ไม่ติดต่อมาเลย ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ปลายสายได้ตอบกลับว่าหากทนายษิทราพร้อมในวันที่เท่าไร ก็ให้ประสานมาได้ จะได้นัดทางคณะกรรมการมาให้พร้อมเพรียงกันเพื่อสอบถามข้อมูล

ทนายษิทรา ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการออกมาแฉของนายชูวิทย์ว่า มีการแฉแต่รับเงิน ตนมองว่าย้อนแย้ง ทำไมนายชูวิทย์ไม่บอกสังคมแต่แรกว่าเงินจากไหน ทำให้ทาง รพ.ทั้งสองแห่งได้รับความเสื่อมเสีย อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (28 มี.ค.) ตนจะเอาหลักฐานทั้งหมด อาทิ คลิปวิดีโอ ภาพถ่าย ไปให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และให้ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่จะทำเรื่องนี้ให้กระจ่างได้ ส่วนถ้าทางตำรวจสอบสวนกลางจะเรียกตนไปสอบถาม ตนก็จะไป และตนก็อยากให้หน่วยงานของ พล.ต.ต. รายนี้ ให้ออกจากราชการด้วย

เมื่อถามว่า ทำไมเชื่อข้อมูลคนที่เอามาให้นั้น ทนายษิทรา ชี้แจงว่า เนื่องจากเขามีรูปถ่ายในโรงแรมของนายชูวิทย์ และมีรูปเงินสดก้อนนั้น แต่นายชูวิทย์ตกหลุมรับสารภาพ ซึ่งถ้าตนตกเป็นเครื่องมือของนายซัว แต่ถ้าทำให้สังคมมองเห็นอะไร ตนก็คงเป็นเครื่องมือโดยไม่ได้รับเงินจากนายซัวสักบาท

ทนายษิทรา ปิดท้ายว่า ตนรับประกันได้ว่าเรื่องราวของกล่องดวงใจของนายชูวิทย์ยาวแน่นอน ถ้าคิดว่าบริสุทธิ์ ไม่ต้องไปกลัว พร้อมท้าให้แฉกลับได้ ตนอยากให้นายชูวิทย์ยอมรับในสิ่งที่ทำ อย่าโกหกสังคม และตนไม่ใช่คนจองล้างจองผลาญ หากนายชูวิทย์จะฟ้อง ก็ขอให้ฟ้องเบาๆ สัก 30-40 ล้านบาท เพราะตนไม่ได้มีเงินถึง 100 ล้านบาทแบบนั้น รวมถึงไม่กล้าเป็นศัตรูกับนายชูวิทย์ด้วย ดังนั้น อย่าฟ้องเลยเพราะจะสู้กันยาว แม้ว่าที่ผ่านมาตนจะไม่เคยแพ้คดีหมิ่นประมาท แต่ในกรณีของนายชูวิทย์ ตนอาจจะแพ้คดีก็ได้ นอกจากนี้ ตนก็กลัวว่าทางตำรวจสองรายนั้นจะฟ้องเหมือนกัน แต่คงต้องให้ตำรวจสอบสวนกลางไปตรวจสอบก่อน ทั้งนี้ ตนมีของดี มีหลักฐานถึงกล้าออกมาพูด ถ้าไม่มีคงไม่พูด.