ที่สำคัญยังเป็นสภาชุดที่มี ส.ส. ที่มาจากพรรคการเมืองถึง 25 พรรค มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ก็สามารถผ่านมาได้จนครบวาระ 4 ปี วันนี้ “ทีมการเมืองเดลินิวส์” จึงขอนำเรื่องราวที่เรียกว่าเป็น “ที่สุด” ของสภาชุดนี้มานำเสนอ

ประเดิมด้วยการโหวตเลือก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น นายกรัฐมนตรี ต่อเนื่องจากการเป็นนายกรัฐมนตรีจากรัฐประหารปี 2557 โดยการเลือกครั้งนี้ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่เปิดช่องให้ “250 ส.ว. มีสิทธิโหวตเลือกนายกฯ” ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า เป็น ส.ว. ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนนำไปสู่เสียงเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปิดสวิตช์ ส.ว.

นอกจากนี้การโหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ และโหวตเลือกนายชวน นั่งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ใช้หอประชุมใหญ่ บริษัท ทีโอที  จำกัด (มหาชน) ถนนแจ้งวัฒนะ เนื่องจากที่ทำการรัฐสภามาที่ “สัปปายะสภาสถาน” ย่านเกียกกาย  ซึ่งรัฐสภาแห่งใหม่มูลค่า 2.2 หมื่นล้านบาท ยังไม่แล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม “สัปปายะสภาสถาน” ถือเป็น “รัฐสภาใหญ่ที่สุดในโลก” และเป็นอาคารของรัฐที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากอาคารเดอะเพนตากอน สหรัฐอเมริกา เพราะมีเนื้อที่ใช้สอยมากถึง 4.24 แสน ตร.ม. พร้อมค่าก่อสร้าง มูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านบาท แต่ทุกวันนี้ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ นับตั้งแต่ลงเสาเข็มก่อสร้างเมื่อปี 56 เป็นเวลากว่า 10 ปี ที่สำคัญยังมีปัญหา น้ำรั่วน้ำซึม ทุกครั้งเมื่อฝนตกพายุเข้า เป็นปัญหายืดเยื้อในการตรวจรับงาน

ที่สำคัญ 4 ปีที่ผ่านมา ยังเกิดปัญหา “สภาล่มซ้ำซาก” มากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ ช่วงแค่ปี 2565 ก็เกินกว่า 25 ครั้งแล้ว เพราะมี การเล่นเกมการเมืองในช่วงโค้งสุดท้าย ของสภาชุดนี้ อย่างปมร้อนการล่มร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง โดยที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกโรงคัดค้านกฎหมายฉบับนี้ ที่นำเสนอโดยพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จนเกิดปัญหาองค์ประชุมทุกครั้งที่มีการพิจารณา เป็นต้น และยิ่งช่วงใกล้ครบอายุสภาก็เกิดปัญหาสภาล่มเกือบทุกครั้งที่มีประชุมสภา

นอกจากนี้ยังเกิด “ศึกกล้วยสะท้านสภา” เป็นเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวสำคัญของรัฐสภา ที่พรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันเล่นเกมโค่น “บิ๊กตู่” ในศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ช่วงวันที่ 31 ส.ค.-3 ก.ย. 64 โดยเฉพาะแกนนำพรรคพลังประชารัฐ อย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เลขาธิการ พปชร. ในขณะนั้น ที่รวบรวมเสียงคว่ำ “บิ๊กตู่” ที่ถือว่าเป็นเกมที่ดุเดือดมาก มีทั้งเกมนอกสภาและเกมใต้ดินหวังพลิกขั้วรัฐบาล ขณะที่รัฐมนตรีที่อยู่ในขั้วของ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี แก้เกมด้วยการรวบรวมเสียงจากพรรคเล็กในนาทีสุดท้าย ทำให้ “บิ๊กตู่” รอดพ้นในการโหวตไม่ไว้วางใจมาได้ ท่ามกลางกระแสข่าวเงินกระจายว่อนสภากว่า หลายร้อยล้านบาท ตามที่นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ออกมาปูดว่ามีการแจกกล้วยกลางสภา

อีกทั้งยังมี “ที่สุดดราม่านักการเมือง” โดยในช่วงการชุมนุมของเยาวชนกลุ่มคณะราษฎรกำลังเดือดพล่านในช่วงเดือน ต.ค. 63 ได้มีการนำประเด็นข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชนเข้าสู่สภาเพื่อหาทางออก โดยการอภิปรายแบบไม่ลงมติ ในระหว่างการอภิปรายของพรรคการเมืองต่าง ๆ อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อ “วิสาร เตชะธีราวัฒน์” ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย นำมีดปอกผลไม้ขึ้นมาขออนุญาตประธานชวน กรีดแขน ตัวเองจนได้เลือด เพื่อประท้วง “บิ๊กตู่” ที่ไม่ฟังเสียงเยาวชน สร้างความตื่นตะลึงทั้งสภา เพราะไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทำให้ต้องมาขันนอตในเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัยป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก

“อภินิหารรัฐธรรมนูญ” เนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 60 ฉบับปราบโกง ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และถูกปู้ยี่ปู้ยำตลอด 4 ปี ในการแก้ไขทั้งฉบับ ทั้งจากการยื่นแก้ของภาคประชาชนและพรรคการเมืองแต่ก็ไม่สำเร็จ  สุดท้ายแล้วก็แก้รัฐธรรมนูญเพียงแค่การคำนวณสูตรปาร์ตี้ลิสต์หาร 100 และเอาบัตรเลือกตั้ง 2 ใบกลับมา เป็นการสนองความต้องการของนักการเมือง ตลอดปี 2565 รัฐสภาวุ่นอยู่กับเรื่องผลประโยชน์ของตัวเอง ช่วงชิงความได้เปรียบในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า โดยไม่ได้คำนึงว่าประชาชนจะได้อะไรบ้าง

“เก้าอี้ดนตรีการเมือง” เป็นปรากฏการณ์ความพิลึกพิลั่นของบรรดานักการเมืองในสภา เมื่อใกล้ครบวาระ 4 ปี เกิดปรากฏการณ์ ส.ส. ทยอยลาออก ทั้งลาออกเพื่อย้ายข้างสลับขั้วไปอยู่พรรคอื่นที่ตอบสนองความต้องการของตัวเองในการลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งหน้า  แต่ที่น่าประหลาด คือ ในส่วนของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่หลายพรรคมี ส.ส.บัญชีรายชื่อทยอยลาออกทั้งพรรคใหญ่หรือพรรคเล็ก เพื่อเปิดโอกาสให้คนใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นลูก หลาน ภรรยา หรือเครือญาติขึ้นมาเป็น ส.ส. แทน บางคนเป็น ส.ส. ไม่กี่สัปดาห์ก็ลาออกอีก เพื่อเลื่อนให้กับลำดับถัดไปขึ้นมาแทน ราวกับเป็นตำแหน่งมีไว้เพื่อเป็นสมบัติผลัดกันชม ให้ได้ขึ้นชื่อว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยได้เป็น ส.ส. ผู้ทรงเกียรติในสภาผู้แทนราษฎร

หลังจากนี้นับถอยหลังสู่การ “ยุบสภา” คิกออฟเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหน้าที่ของประชาชนชาวไทยในการหย่อนบัตรเลือก “ผู้แทนน้ำดี” มีคุณภาพ กลับเข้าสภา ยกระดับการเมืองไทยให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง.