จากกรณีโลกออนไลน์ ได้มีการโพสต์บอกเล่าเรื่องราวของหนุ่มเมืองกาญจน์ มีบัตรประชาชนถึง 7 ใบ ซึ่งแต่ละใบมีชื่อที่แตกต่างกัน มีเพียงใบหน้า ที่อยู่ เท่านั้น ที่ตรงกับบัตรจริง

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. นายธนณัฏฐ์ ศรีสันต์ นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี กล่าวว่า บัตรประชาชนทั้ง 7 ใบ เป็นบัตรปลอมทั้งหมด จากการเข้าไปดูในฐานข้อมูลไม่มีเช่นกัน ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางอำเภอจะดำเนินการอย่างไรนั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่เรา และทราบมาว่า คนที่นำบัตรไปหลอกลวงอยู่ทางภาคเหนือ ที่อาจเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่หลอกลวงประชาชน จึงขอแจงให้สื่อมวลชนทราบว่า ปัจจุบันการทำบัตรประชาชน สามารถไปทำได้ในทุกสำนักทะเบียนทั่วประเทศ เมื่อเห็นบัตรประชาชนดังกล่าวเป็นคนเมืองกาญจนบุรี นักข่าวหรือประชาชนเข้าใจว่า อำเภอเมืองกาญจน์จะมีการทุจริต ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะถ้าหากมีการทุจริตจริง เมื่อกดเข้าไปดูในฐานข้อมูล ก็จะรู้ได้เลยว่าบัตรประชาชนออกมาจากสำนักทะเบียนไหน

และจากการตรวจสอบบัตรดังกล่าว พบว่าบุคคลดังกล่าวบ้านอยู่เทศบาลตำบลลาดหญ้า แต่เจ้าของมาทำบัตรที่เทศบาลเมืองกาญจนบุรี เมื่อทราบข่าวดังกล่าว ตนก็เป็นห่วงว่า เจ้าหน้าที่ของเรามีการทุจริตหรือไม่ จึงรีบทำการตรวจสอบโดยด่วน แต่ก็ไม่พบการทุจริตแต่อย่างใด

สำหรับเจ้าของบัตรตัวจริงนั้น ทั้งชื่ออายุ ที่อยู่ เลขบัตรประชาชน ตรงกัน แต่ในบัตรที่ปลอมขึ้นมา มีการเปลี่ยนรหัสเลข 13 หลักสลับกันไปมา รวมทั้งชื่อนามสกุลในบัตรทั้ง 7 ใบ ก็ไม่เหมือนกันด้วย สรุปแล้วต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบว่า ใครเป็นคนปลอมแปลงเอกสารบัตรประชาชนจำนวนดังกล่าว โดยเจ้าของบัตรตัวจริงได้ไปทำบัตรประชาชนล่าสุดเมื่อเดือน ม.ค. 2566 ที่ผ่านมา ที่เทศบาลเมืองกาญจนบุรี เนื่องจากบัตรหมดอายุ และรูปในบัตรเป็นรูปหน้าเจ้าของบัตรในปัจจุบัน ถามว่าในกรณีนี้ ทางอำเภอจะต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษหรือไม่นั้น เพราะกรณีนี้อำเภอเมืองกาญจนบุรีของเราไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะตามที่นำเรียนสื่อมวลชนไปแล้วว่า บัตรประชาชนในปัจจุบันสามารถเดินทางไปทำได้ในทุกสำนักทะเบียนทั่วประเทศ

และหากใครนำบัตรคนอื่นไปใช้ในทางเสียหาย เจ้าของบัตรตัวจริงจะเป็นผู้เสียหายโดยตรง แต่ถ้าหากเราตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า มีการปลอมแปลงบัตรประชาชนจริง กรมการปกครองจะเป็นผู้เสียหายไม่ใช่อำเภอเป็นผู้เสียหาย

อยากจะแจ้งเตือนไปถึงประชาชนผ่านสื่อมวลชนว่า บัตรประชาชนนั้นมีความสำคัญมาก ทุกวันนี้หากนำบัตรประชาชนไปแสดงเพื่อทำธุรกิจหรือธุรกรรมอะไรต่างๆ ก็ใช้บัตรประชาชนแค่ใบเดียว เพราะฉะนั้นอย่าไว้ใจและให้ใครไปเด็ดขาด

และหากทำธุรกรรมอะไร ก็ให้ขีดค่อมแล้วเขียนระบุใช้เฉพาะธุระนั้นให้ชัดเจน สำหรับบัตรทั้ง 7 ใบ เหมือนกันเฉพาะที่อยู่ จากการตรวจสอบแล้วไม่พบในฐานข้อมูล จึงไม่รู้ว่าออกมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสำนักทะเบียนจึงยังไม่เกิดความเสียหาย แต่ถ้าหากมีการนำบัตรไปใช้สำนักทะเบียน กรมการปกครองจะเป็นผู้เสียหาย เพราะเป็นหน่วยงานที่ดูเรื่องบัตรประชาชนในภาพรวมทั้งประเทศ

ต่อมาเวลา 13.30 น. ที่สถานีตำรวจภูธรลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี นายภาคิน (ขอสงวนนามสกุล) พร้อมพี่ชาย เดินทางเข้าพบนายเอกอนันต์ ศรีอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน (ผอ.สปท.) เพื่อให้ข้อมูลกรณีดังกล่าว

นายภาคิน เปิดเผยว่า ตนเองมีอาชีพทำร้านอาหารอยู่ในตำบลลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี วันหนึ่งมีโทรศัพท์เข้ามาอ้างว่า เป็นสารวัตรสืบสวน โทรฯ มาสอบถามว่า ตนใช่นายศรายุทธ แก่นจันทร์ หรือไม่ เนื่องจากมีผู้เสียหายได้แจ้งความไว้ว่า มีการซื้อขายรถจักรยายนต์ โอนเงินเข้าบัญชีไปแล้ว แต่ไม่ได้รับรถ และยังปิดช่องทางการติดต่อ เมื่อเป็นเช่นนั้น ตนจึงเดินทางมายังสถานีตำรวจภูธรลาดหญ้า เพื่อลงบันทึกประจำวัน แสดงความบริสุทธิ์ไว้เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 65 แต่หลังจากนั้น ก็มีผู้เสียหายรายอื่นๆ ติดต่อมาหาตน ทั้งทางโทรศัพท์ บางรายเดินทางมาถึงหน้าบ้าน 

จึงมาคิดทบทวนว่า เคยให้เอกสารบัตรประชาชนใครไปหรือไม่ เมื่อไล่ดูจึงทราบว่า เมื่อช่วงเดือนเมษายน 2565 หลังงานศพมารดา ตนได้ทำเรื่องกู้เงินออนไลน์ ไปยังแอปปล่อยเงินกู้ เพื่อขอกู้เงินในวงเงิน 50,000 บาท จากนั้นแอปกู้เงินดังกล่าว ได้ให้ตนเข้ากลุ่มไลน์ศูนย์อนุมัติเงินกู้ เพื่อยืนยันตัวตนโดยให้ถ่ายรูปตนเองคู่กับบัตรประชาชน ในการทำเรื่องกู้ พร้อมให้ตนโอนเงินค่าดำเนินการ จำนวน 500 บาท เพื่ออนุมัติวงเงินที่ขอไป ตนจึงได้ทำตาม แต่ทางศูนย์อนุมัติเงินกู้ ยังได้แชตข้อความขอให้โอนเงินเพิ่มอีก 1,200 บาท อ้างติดปัญหานิดหน่อยต้องโอนเพิ่ม จึงคิดว่าน่าจะถูกหลอกลวง จึงไม่ทำตาม และไม่ติดต่อกลับไปแต่อย่างใด จนมีผู้เสียหายรายอื่นๆ ติดต่อมาหา ทำให้รู้ว่าบัตรประจำตัวประชาชนของตนถูกปลอม และนำไปใช้ในทางทุจริต และมีการเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียล และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ณ ขณะนี้ โดยมีผู้เสียหายมากกว่าหลายสิบราย และเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้มาลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรลาดหญ้าอีกครั้ง และวันนี้มาให้ข้อมูลแก่ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตการทะเบียน และบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์

ด้านนายเอกอนันต์ ศรีอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริตการทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน (ผอ.สปท.) เผยว่า ในนามของตัวแทนกรมการปกครองสำนักทะเบียนกลาง ได้รับคำสั่งจากกรมได้มอบหมายให้มาตรวจสอบข้อเท็จจริง ขอข้อมูลเพิ่มเติมจากกรณีที่มีสื่อโซเชียลลงว่า เป็นบุคคลเดียว แต่มีบัตรประชาชนถึง 7 ใบ และมีชื่อที่แตกต่างกัน มีเลขประจำตัวประชาชนไม่ตรงบ้าง ชื่อไม่ตรงบ้างทั้ง 7 ใบ ซึ่งเป็นการแก้ไขในแอปข้อมูล แต่ว่าในการทำ ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับในฐานระบบข้อมูลการทะเบียนบัตรประชาชน เป็นการใช้แอปที่ทำขึ้นเองจากภายนอกที่ที่รับทำทั่วไป และวันนี้ทางด้านนายภาคิน ได้นัดพบบอกว่า ผมยินดีจะให้ข้อมูลและมาแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง ภาคินก็โดนหลอก 

วันนี้ก็มาทราบว่าข้อเท็จจริงว่า บัตรใบนี้เป็นการกระทำโดยมิจฉาชีพ ที่ทำแอปขึ้นมาซึ่งเป็นแอปเงินกู้ ก็ต้องฝากเตือนไปยังประชาชน ในกรณีมีแอปเงินกู้เข้ามาหรือการให้ซื้อสินค้าต่างๆ และต้องมีการให้ยืนยันตัวตนด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ต้องคอยระมัดระวัง กรมการปกครองเป็นห่วงในเรื่องนี้ และยิ่งใกล้ช่วงการเลือกตั้ง อาจจะเอาไปนำบัตรประชาชนไปทำอะไรบ้าง มันจะเป็นเรื่องยาวกันไปใหญ่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเลย และเรื่องนี้ เท่าที่ทราบนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2565 แต่ว่าเพิ่งมาดังในโซเชียล แต่เป็นการดีเหมือนกัน จะได้มีการป้องกันและแก้ไขต่อไป 

เบื้องต้น พ.ต.ท.มณิภัทร์ เพ็งเกร็ด สารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจภูธรลาดหญ้า ได้รับลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว และอยู่ในขั้นตอนของกระบวนสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป

สำหรับความผิด “การดำเนินการปลอมแปลงรายละเอียดชื่อในบัตรประจำตัวประชาชน เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาท”