นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นของพรรคการเมืองและนักการเมืองไทย ที่สำรวจจากประชาชนทั่วประเทศว่า ทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นปัญหาสำคัญอันดับ 1 ของประเทศ ที่ประชาชนต้องการให้แก้ไขมากที่สุด ตามด้วยปัญหาการศึกษา และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยคอร์รัปชั่น ขึ้นมาเป็นอันดับ 1 จากการสำรวจการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อปี 62 ที่ปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับ 1 และคอร์รัปชั่นเป็นอันดับ 3 โดยคอร์รัปชั่น ที่ส่งผลเสียและต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไข คือ ทุจริตในระบบราชการ, ทุจริตในกระบวนการยุติธรรม, เงินบริจาคแก่สถาบันศาสนา, การศึกษา, สิ่งแวดล้อมและภัยธรรมชาติ, การดูแลผู้พิการ ผู้ยากไร้ เด็กด้อยโอกาส, ระบบขนส่งมวลชนและโครงสร้างสาธารณูปโภค, ภาคเกษตร, กระบวนการนำเข้าส่งออก
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/03/IMG-9564-1.jpg)
“ประชาชนยังมองถึงบทบาท และหน้าที่ของภาคการเมือง พรรคการเมือง และนักการเมืองว่า ต้องมีความซื่อสัตย์ และจริยธรรมในการทำงาน มีควาชัดเจนในการต่อต้านทุจริต มีความโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลและตรวจสอบได้ ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เอื้อประโยชน์กับพวกพ้อง ไม่รับสินบน สินน้ำใจ ไม่ซื้อสิทธิขายเสียง ทำงานเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อส่วนรวม รวมถึงปฏิบัติหน้าที่ได้ตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ไม่ใช่อำนาจในทางที่ผิด ไม่แทรกแซงการทำงานของภาคส่วนต่าง ๆ”
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/03/IMG-9565-1024x573.jpg)
นอกจากนี้ 95% ยังบอกว่า นโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นของพรรคการเมือง นักการเมือง มีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้งในระดับปานกลางถึงมาก มีเพียง 5% ที่บอก มีผลน้อยถึงไม่มีผลเลย อีกทั้ง 82.4% ยังเห็นด้วยที่พรรคการเมือง ควรเสนอนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่น โดยต้องมีความชัดเจน ปฏิบัติได้จริง เพราะปัญหานี้เรื้อรังมานาน ขณะที่อีก 17.6% ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจ และไม่สามารถปฏิบัติได้จริง
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/03/IMG-9566-1024x567.jpg)
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า หากพรรคการเมืองไม่มีนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่น จะเลือกหรือไม่ 83.6% ตอบไม่เลือก เพราะไม่โปร่งใสตั้งแต่แรก ส่วนอีก 16.4% เลือก เพราะยังไงก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องปกติของการเมืองไทย และหากนักการเมืองใช้เงินซื้อเสียง จะเลือกหรือไม่ 86.2% ตอบไม่เลือก เพราะทุจริตตั้งแต่เริ่มต้น ผิดกฎหมาย ส่วนอีก 13.8% เลือกเพราะแค่เข้ามาช่วยพัฒนาประเทศก็พอ ทุกพรรคก็ทำเหมือนกัน ถือเป็นการกระจายเงินถึงประชาชน จ่ายหรือไม่จ่ายก็เลือก เพราะเป็นคนและพรรคที่ชอบ
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/03/IMG-9567-1024x589.jpg)
ด้านนายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลโพลชี้ชัดว่า ประชาชน อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง อยากให้มีการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น อยากได้นักการเมืองซื่อสัตย์ ถ้าไม่มีนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่นจะไม่เลือก ซึ่งมองว่า นักการเมือง เป็นกลุ่มคนที่ทุจริตมากที่สุด เพราะอยู่ในฝ่ายบริหาร เกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ แต่งตั้งโยกย้าย รับสินบน เอื้อประโยชน์พวกพ้อง โครงการใหญ่ ๆ ยาเสพติด ความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ทั้งหมดอยู่ภายใต้นักการเมือง ที่เป็นฝ่ายบริหาร การทุจริตของไทย ไม่ได้อยู่เฉพาะในระบบราชการเท่านั้น
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/03/IMG-9568.jpg)
“ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การทุจริตยังมีกว้างขวาง การแก้ปัญหายังไม่ดีขึ้น แต่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี คนรุ่นใหม่ตื่นตัวกับการแก้ปัญหามากขึ้น ที่สำคัญ ไม่ทานทนกับการทุจริต และอยากเห็นการต่อต้านการทุจริต”
นายมานะ นิมิตมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวว่า คนไทยต้องการแนวทางแก้ปัญหาทุจริตที่จับต้องได้ การเลือกตั้งปี 62 พรรคการเมือง 3 พรรคนำเสนอนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่น นอกนั้นไม่นำเสนอ แต่เป็นการนำเสนอที่พูดลอยๆ เช่น ยึดมั่นในอุดมการณ์ ทำอย่างโปร่งใส บริหารประเทศอย่างมีธรรมาภิบาล ฯลฯ ซึ่งนำไปสู่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การแก้ปัญหาทุจริตของไทยล้มเหลว ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ ล่าสุด เห็นมี 3 พรรค ที่นำเสนอนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่น
“ช่วงรัฐบาลนี้ การทุจริตมีมากมาย เพราะผู้นำรัฐบาล และผู้นำหน่วยงานต่างๆ เพียงแค่บอกว่า มีนโยบายต่อต้านคอร์รัปชั่น แต่ไม่ได้ทำอย่างจริงจัง ส่วนการทำข้อตกลงคุณธรรมกับหน่วยงานที่เป็นเจ้าของโครงการต่าง ๆ ก็ไม่ได้การันตีว่า จะช่วยให้ปัญหา หรือการจ่ายเงินใต้โต๊ะหมดไป เพียงแค่ช่วยทำให้การใช้เงินงบประมาณโครงการต่างๆ คุ้มค่า และในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ข้อตกลงคุณธรรม ช่วยทำให้เงินงบประมาณในโครงการต่าง ๆ ไม่รั่วไหลได้มากถึง 90,000 ล้านบาท”