ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน 2 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี สังกัดพรรคเพื่อไทย ได้แก่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) และนายเศรษฐา ทวีสิน (นิด) โดยอ้างอิงตามข้อมูลตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีชื่อถือหุ้นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ 1 บริษัท คือ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ SC ทั้งสิ้น 1,216,149,870 หุ้น คิดเป็น 28.82%

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. แสนสิริ ปัจจุบันมีชื่อถือหุ้นในบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI จำนวนทั้งสิ้น 661,002,734 หุ้น สัดส่วน 4.44%

ทั้งนี้ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการปี 65 ว่า บริษัทสามารถทำสถิติสูงสุดทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ โดยที่มียอดขาย 24,468 ล้านบาท เติบโต 12% และมีรายได้รวม 21,685 ล้านบาท เติบโต 11% มาจากโครงการแนวราบ 17,420 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 3,234 ล้านบาท บริษัทมียอดขายรอโอนรวม 11,125 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,556 ล้านบาท เติบโต 24% จากช่วงเดียวกันของปี 65

ขณะที่ บมจ.แสนสิริ รายงานผลประกอบการปี 65 ว่า บริษัทมียอดขาย 50,000 ล้านบาท เติบโตเกือบ 50% และมีรายได้รวม 34,983 ล้านบาท เติบโต 18% และมีกำไรสุทธิ 4,280 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% นับเป็นกำไรสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

รายงานข่าวจาก บล.เอเซียพลัส กล่าวถึง บมจ.แสนสิริ ปี 66 นี้ว่า จะมีโอกาสทําจุดสูงสุดใหม่ที่ 4,460 ล้านบาท เติบโต 9% จากปี 65 จากยอดโอนที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 9.6% รองรับยอดขายรอโอนประมาณ13,000 ล้านบาท และที่เหลือมาจากการขายโครงการแนวราบใหม่ปีนี้ ที่จะเปิดจํานวนมากถึง 30 โครงการ มูลค่า 50,700 ล้านบาท รวมทั้งสต๊อกคอนโดมิเนียมพร้อมโอน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจากการขายอยู่ในระดับสูง 34.8% เนื่องจากปีนี้จะมีการโอนมากขึ้น ของโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน

สำหรับ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น เตรียมจะแถลงแผนธุรกิจปี 2566 และจัดประชุมนักวิเคราะห์วันที่ 2 มี.ค. 2566 เบื้องต้นคาดว่า แผนเปิดโครงการใหม่ปีนี้มีทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท เน้นแนวราบเป็นหลักรวม 22 โครงการ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท สัดส่วน 75% ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มระดับกลาง-บน ที่มีราคาเกิน 10 ล้านบาท และจะมีแบรนด์ใหม่ สําหรับบ้านเดี่ยว ส่วนคอนโดฯ ปีนี้จะเปิด 3 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท ในกลุ่มระดับกลาง-บนเป็นหลัก คาดว่ารายได้ปีนี้เติบโต 15%