เมื่อวันที่ 17 ก.พ. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.ภาคภูมิพิพัฒน์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. สั่งการให้ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อมกับเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง เชิญตัว นาย หยู ซิน ฉี ประธานมณฑลส่านซี สมาคมแห่งประเทศไทย จากบ้านพักตั้งอยู่ถนนจตุโชติเลียบวงแหวนตะวันออก ย่านวัชรพล ลักษณะเป็นหมู่บ้านหรู มีระบบรักษาความปลอดภัยค่อนข้างเข้มงวด เพื่อนำไปสอบถามข้อมูลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ภายหลังที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง และนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล เปิดเผยเรื่องราวว่า มีการจัดตั้งสมาคมไม่ถูกต้องและมีการแอบอ้างเบื้องสูง และผู้นำประเทศ ในการแสวงหาผลประโยชน์   

โดยเจ้าหน้าที่เข้าแสดงตัวกับนายหยู ซิน ฉี ในขณะที่เจ้าตัวเดินออกมาจากบ้านพักย่านวัชรพล จากนั้นได้แจ้งข้อมูลถึงสาเหตุการขอเชิญตัวไปสอบถามข้อมูล ซึ่ง หยู ซิน ฉี ได้ให้ความร่วมมือ ขึ้นรถของตำรวจสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองออกจากหมู่บ้านไป เพื่อให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่อาคารสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่เมืองทองธานี 

มีรายงานว่า สำหรับการตรวจค้นบ้านพักขณะนี้ยังรอศาลอนุมัติหมายค้น เพื่อนำแสดงก่อนเข้าตรวจค้นภายในบ้าน  ซึ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น อยู่ในเนื้อที่ขนาด 80 ตารางวา อยู่ภายในหมู่บ้านหรู โดยการตรวจสอบเพื่อดูว่าบ้านพักหลังนี้ใช้เป็นที่ตั้งของสมาคมหรือไม่ ในเบื้องต้นพบว่าบ้านหลังนี้ นายหยู ซิน ฉี อาศัยอยู่เพียงลำพัง  

ส่วนเรื่องความผิดแยกเป็น 2 ส่วน คือ การจัดตั้งสมาคมโดยไม่มีใบอนุญาตเป็นหน้าที่ของกรมการปกครองที่จะต้องไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับตำรวจ สน.คันนายาว เจ้าของพื้นที่ เพราะตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าไม่มีการขอใบนุญาตในการจัดตั้งสมาคม ส่วนความผิดที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งทางตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ได้ทำการตรวจสอบพบว่านายหยู ซิน ฉี ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยใช้วีซ่าบั้นปลายชีวิตหรือวีซ่าเกษียณอายุสำหรับชาวต่างด้าวที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และต้องการอาศัยอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ได้ทำการตรวจสอบพบว่าขั้นตอนในการขอวีซ่าถูกต้องมีการแสดงหลักฐานทางการเงิน คือเงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 800,000 บาท หรือมีเงินไม่น้อยกว่าเดือนละ 65,000 บาท โดยเงินได้ 12 เดือน รวมกันไม่น้อยกว่า 800,000 บาท อย่างไรก็ตาม ได้เพิกถอนวีซ่าของนายหยู ซิน ฉี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่นายพิพัฒน์ยชญ์ วัชฤทธิ์ ผอ.ส่วนกำกับและตรวจสอบ สำนักสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง ยอมรับว่าไม่เคยได้ยินชื่อของ สามาคม หยู ซิน ฉี  มาก่อน กระทั่งปรากฏเป็นข่าว ประกอบกับข้อมูลจากนายชูวิทย์ โพสต์เผยแพร่ แจ้งเบาะแส ความน่าสงสัยของการจัดตั้งและการดำเนินการของสมาคม   

“เมื่อตรวจสอบข้อมูลในสารบบทะเบียนการจัดตั้งสมาคมของกรมการปกครอง ก็พบว่าไม่มีประวัติการขอขึ้นทะเบียนจัดตั้ง จึงมีความผิดการตั้งสมาคมโดยไม่มีใบอนุญาต โดยจะดำเนินการปิดสมาคมฯ และดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องด้วยการร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน สน.คันนายาว ตามขั้นตอน ส่วนเป้าหมายในการเข้าตรวจสอบวันนี้ นอกจากการปิดสมาคมฯ ก็จะเข้าตรวจค้นภายในที่ตั้งด้วย เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานขยายผลให้ถึงผู้ที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนในการร่วมจัดตั้ง หรือร่วมกระทำความผิด ตั้งแต่การร่วมจัดตั้งไปจนถึงการใช้ชื่อสมาคมแอบอ้างหาผลประโยชน์จากประชาชน หรือเพื่อแอบแฝงผลประโยชน์ใดๆ ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน มีข้อมูลของมูลนิธิ, สมาคมฯ ที่ต้องสงสัยว่า อาจจัดตั้งไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับอนุญาตมากกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกพื้นที่ ให้ตรวจสอบโดยละเอียดอย่างเร่งด่วน