มีหลายประเด็นดราม่าเกิดขึ้นกับนักแสดงสาว-ผู้จัดคนเก่งอย่าง “หนิง ปณิตา” ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จนทำให้เธอต้องออกมาเคลียร์ชัดทุกดราม่าทีเดียว ในรายการโต๊ะหนูแหม่ม ทั้งข่าวลือขาเตียงหักสามีมีบ้านเล็ก ปมร้อนถูกโยงข่าว มีอิทธิพลเส้นใหญ่ กันซีน “เจมี่ บูเฮอร์” จนต้องออกจากวงการ แต่ช่วงพักหลังเห็นสาวหนิงหันมาพึ่งทางธรรมมากขึ้น ทำให้ตัวเองคิดบวชตลอดชีวิตเลยหรือเปล่า เจ้าตัวพร้อมเคลียร์

หนิง เผยว่า “เรื่องข่าวลือหน้าร้ายหน้าเหวี่ยงหอบเสื้อผ้าออกจากบ้านสามี ไม่ใช่หนู แต่ว่าเมื่อวานหนูไปงานอีเวนต์แล้วคราวนี้หนูก็ไม่เคยเห็น แต่ก่อนนักข่าวจะมาสัมภาษณ์เอาข่าวนี้มาให้ดู เรายังตกใจเลยว่าเป็นใคร พอนักข่าวบอกว่าเป็นเรา เราก็ตกใจ เพราะปกติเราชอบโดนใช้ฉายาว่านางร้าย เราเลยบอกว่าไม่ใช่ พอมาทุกวันนี้ก็ยังอยู่บ้านสามี ตอนนักข่าวสัมภาษณ์ถึงเรื่องครอบครัว เราก็ตอบอย่างที่เคยตอบ ซึ่งเราต้องทำใจว่า ชีวิตที่เกิดมาเป็นผู้หญิง เอาเป็นว่าน้อยมากที่จะไม่เจอเรื่องคบซ้อนหรือเจ้าชู้ คือบางทีเราอย่าไปมองแค่ภาพในไอจีที่หลายคนสร้าง ที่พักหลังไม่ลงรูปสามีที่ไม่ลงรูป เพราะไม่ค่อยได้ลงรูปอยู่แล้ว สังเกตว่าถ้ารูปไหนที่ไม่สวยหนูก็ไม่ลง หนูจะลงเฉพาะรูปที่คิดว่าได้แล้วมันสวยหรือว่าตลก แล้วมันเยินไปเลยถึงจะลง ประกอบด้วยว่าช่วงโควิดที่เราอยู่ด้วยกันบ่อย ก็เลยลงรูปถี่ แต่พอกลับมาทำงานค้างเยอะๆ มันก็ไม่ว่างที่จะต้องมานั่งลงรูป”

“ถ้ามีบ้านเล็กจริง เราก็ทำเหมือน ธัญญ่า ไงคะ เพราะเขาเป็นประธานชมรม อยู่หมู่บ้านเดียวกัน มีอะไรเราก็โทรฯ หากันได้ เหมือนกับมีเค้าเป็นไอดอล เพราะกรณีตัวอย่างอย่างที่เราพูดไปว่า น้อยคนที่จะไม่เจอเรื่องราวเหล่านี้ อยู่ที่ว่าจะรับมือยังไง ซึ่งน่าจะต้องเจอเรื่องราวเหล่านี้จริงๆ อย่าไปพยายามต้องเลิกหรือบังคับทำให้เราไม่มีความสุข ถ้าตราบใดเค้ายังอยากที่จะมี ถ้าใจเค้าจะไปเค้าก็ไป เพราะสุดท้ายทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา ส่วนประเด็น เจมี่ บูเฮอร์ ที่ตกเป็นประเด็นในเรื่องที่เราถูกโยง มันเกิดจากที่วันนั้น เราไปเข้าห้องน้ำปั๊มน้ำมันตอนตีห้า ซึ่งเราจะไปเข้าห้องน้ำห้องไหน เค้าก็ดักเราไม่ให้เข้าไป แล้วมาด่าเราว่าเราเป็นดาราจะไปแกล้งเขา เดี๋ยวเค้าจะแฉเราแค่นั้นเอง แล้วก็มาเจอข่าว เจมี่ ซึ่งประเด็นนี้ไม่ใช่เราแน่นอน ส่วนตัวก็ดูเจมี่ไว้ อาจจะติดต่อมารับงานละครด้วย ต้องบอกเลยว่าเกิดเป็นเราโดนตลอด พอหลังๆ มาเราก็เบาตลอด แต่เรื่องบวชตลอดชีวิตเราเคยใช้ชีวิตแบบไม่ต้องพึ่งอะไร เครื่องสำอางไม่เติมแต่ง มันรู้สึกถึงความสุขที่สุด เพราะฉะนั้นอะไรที่เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงในปัจจุบันแล้วเราถูก เราก็มักจะปลีกวิเวกเป็นระยะช่วงๆ เพื่อไปปฏิบัติธรรม ห่วงลูกก็ห่วง ห่วงจิตวิญญาณตัวเองก็ห่วง เหมือนหล่อเลี้ยงทั้งทางโลกและทางธรรม”

“ถามว่าเมื่อไหร่จะเห็นวันที่เราไปบวชตลอดชีวิต ก็คงรอลูกโตก่อน อันนี้เราก็บอกไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ความรู้สึกที่เราไปอยู่ในสถานที่แบบนี้ เมื่อเราไปอยู่ตรงที่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม มันจะเกิดความรู้สึกแบบนี้ตลอด ซึ่งถ้าหากว่านั่นเกิดขึ้นแล้วจริงๆ นักบวชที่ชื่อปณิตา จะกลับมาบอกชีวิตของผู้หญิงที่ชื่อปณิตา ว่า ทุกวันนี้ต่อให้ไปเป็นนักบวช วันนั้นเราจะบอกตัวเองเสมอว่าเธอเก่งมากแล้ว เธอก็ยังต้องสู้ต่อไป สู้กับสภาวะจิตของตัวเองที่ให้รู้ว่าอันนี้คือดี อันนี้คือไม่ดี แยกแยะให้ถูก แต่บางสถานการณ์ก็แยกแยะไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็คือจะเว้นก่อน ว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ว่ากัน ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรเดี๋ยวนี้คนใกล้ตัวจะรู้ว่าเราจะพูดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน เราอยากขอบคุณตัวเองว่าเธอเก่งมาก ขอบคุณตัวเองที่มีธรรมะในใจ ขอบคุณในความพยายามที่อยากจะเป็นในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น”