เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 1 ก.พ. ที่โรงแรมเดอะเดวิส ถนนสุขุมวิทซอย 24 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จัดแถลงข่าวกรณีของ อันหยูชิง หรือ Charlene An ดาราสาวไต้หวัน กับกลุ่มเพื่อน ที่ระบุว่าถูกตำรวจตั้งด่านรีดไถเงิน 27,000 บาท โดยก่อนแถลง นายชูวิทย์ได้ตีปี๊บ และกล่าวระหว่างเดินว่า จะนำปี๊บดังกล่าวไปฝากให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คลุมศีรษะไว้ เพื่อซ่อนจากข้อเท็จจริงที่จะเปิดเผย

นายชูวิทย์ กล่าวว่า การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ มีการทำเป็นขบวนการ จัดสรรแบ่งส่วนให้กับผู้ที่ปฏิบัติงาน การตั้งด่านนี้ทำลายภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว ยิ่งเฉพาะในช่วงนี้ที่เพิ่งมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้ง หลังสถานการณ์โควิด-19 จากนี้แทนที่นักท่องเที่ยวจะกลัวโจรผู้ร้าย กลับต้องมากลัวตำรวจ ที่ควรจะดูแลความปลอดภัยของพวกเขา

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ เปิดภาพที่ตำรวจนำบุหรี่ไฟฟ้าใส่มือของอันหยูชิง พร้อมกล่าวว่า เป็นความจริงที่อันหยูชิงใช้บุหรี่ไฟฟ้า แต่วันที่เกิดเรื่อง เธอไม่ได้นำบุหรี่ไฟฟ้ามา

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ถ้าถึงวันนี้ตำรวจต้องการจะคืนเงิน 27,000 บาท ให้กลุ่มผู้เสียหาย ตนก็เชื่อว่าเขาจะไม่รับแล้ว เพราะทั้งหมดไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งที่ผ่านมา ยังถูกเจ้าหน้าที่ใส่ร้ายมาตลอด เปรียบตำรวจไม่ดี เป็นนิ้วร้ายที่ต้องตัดทิ้ง เชื่อว่าวันนี้ไม่มีนิ้วเหลือให้ตัดแล้ว

ต่อมาเวลา 14.20 น. ชูวิทย์ได้เชิญ สกาย ชาวสิงคโปร์ เพื่อนของอันหยูชิง มาร่วมแถลงข่าว โดย สกาย กล่าวว่า ถ้าไม่ไว้ใจนายชูวิทย์ ก็คงไม่เดินทางมา วันที่เกิดเรื่องตนกับกลุ่มเพื่อนรวมทั้งอันหยูชิง ไปเที่ยวงานวันเกิดเพื่อนอีกกลุ่ม หลังจากนั้นระหว่างเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก เจอตำรวจตั้งด่านใช้ไฟฉายส่องเข้ามาในรถแท็กซี่ที่นั่งอยู่

จากนั้นเจ้าหน้าที่ประจำด่าน บอกให้รถจอดเข้าข้างทาง ให้ทุกคนในรถลงมา จากนั้นเข้ามาจับตามตัวค้นกระเป๋า ให้นำเอกสาร หนังสือเดินทางออกมาแสดง รวมทั้งให้ถอดรองเท้า ซึ่งในวันดังกล่าว ตนไม่ได้นำพาสปอร์ตออกมาจากที่พัก

สกาย กล่าวต่อว่า จากการตรวจตามตัว เจ้าหน้าที่พบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน เจ้าหน้าที่ถามต่อว่า มาจากประเทศไหน ตอนนั้นทางกลุ่มเองเริ่มสงสัยแล้วว่า ทำไมตำรวจทำเป็นเรื่องใหญ่ สั่งห้ามโทรศัพท์ ห้ามติดต่อใคร หรือถ่ายรูป ในเหตุการณ์ฝั่งตนมีเพียงตนเองที่พูดไทยได้ นอกนั้นในกลุ่มพูดไม่ได้

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่พูดขึ้นว่า อย่ากวนตีน ระหว่างที่ตนเองถามถึงเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องตรวจมากมาย เพราะตนและเพื่อนไม่ได้ทำผิดกฎหมายแน่นอน พร้อมอธิบายว่าตามปกติแล้วการเดินทางเข้าประเทศไทยของคนสิงคโปร์ ไม่จำเป็นต้องมีวีซ่า ยกเว้นกรณีที่อยู่อาศัยเกินกว่า 10 กว่าวันขึ้นไป ส่วนตัวที่เดินทางมาเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. เพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่และอยู่ต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 5 ม.ค. เป็นวันที่กำหนดเดินทางกลับ

ส่วนเล่มหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ตที่เจ้าหน้าที่พยายามเรียกดู ตนได้ตอบไปว่าเอกสารต่างๆ อยู่ที่ที่พัก ถ้าจะตรวจขอเวลากลับไปนำมาแสดง ซึ่งตนมีเพียงรูปถ่ายพาสปอร์ต แต่ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ฟังและพยายามแย้งว่าต้องแสดงเอกสารทันที และต้องเป็นตัวจริง ห้ามไปไหน และพยายามแจ้งว่า การที่พกพาบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิด

สกาย จึงได้ตอบเจ้าหน้าที่ไปว่า ตนและเพื่อนไม่ทราบว่าผิดกฎหมาย พร้อมถามกลับว่าถ้าผิดกฎหมายจริง ทำไมถึงมีขายได้ทั่วไป เพราะบุหรี่ไฟฟ้าที่ตำรวจยึด ตนก็ซื้อมาจากตลาดที่ห้วยขวางเทอร์เรซ และเห็นคนไทยใช้ตามปกติอยู่ ไม่มีใครบอกว่าผิด

เมื่ออธิบายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าเสร็จ ตอนนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มมีทีท่าทีโมโห และบอกว่าถ้าอย่างนั้นทั้งหมดต้องไปสถานีตำรวจและจะต้องติดคุกอย่างน้อยอีก 2 วัน แม้ตนจะแย้งไปว่าถึงกำหนดเดินทางกลับแล้ว เมื่อเจรจาได้ระยะหนึ่ง ทางเจ้าหน้าที่พาไปหาเจ้าหน้าที่อีกรายที่ไม่ได้ใส่เครื่องแบบตำรวจ และแจกแจงให้กับตนเองฟังว่า บุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน อันละ 8,000 บาท ส่วนที่ไม่พบพาสปอร์ตอีก 3,000 บาท รวมเป็นเงิน 27,000 บาท

โดยตำรวจที่เข้ามาพูดคุยเรื่องเงินมี 3 นาย โดยนายแรก เป็นชายไม่ได้สวมเครื่องแบบตำรวจ สวมแจ๊กเกต มีหนวดเครา คนนี้ทำหน้าที่ในการเรียกและรับเงินจากนายสกาย และเก็บเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ส่วนตำรวจนายที่ 2 รูปร่างสูงใหญ่ ศีรษะล้าน ทำหน้าที่บังกล้อง ส่วนตำรวจนายที่ 3 เป็นคนรูปร่างผอม ใส่ผ้าคลุมหน้า โดยจะเข้ามาร่วมรับฟังการพูดคุยด้วย

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่หนึ่งราย ยื่นบุหรี่ไฟฟ้ามาให้อันหยูชิงถือพร้อมถ่ายภาพ ตอนนั้นทั้งกลุ่มเครียดมาก เพราะไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน และทั้งหมดอยากออกจากจุดนั้นเร็ว รวมถึงอยากออกจากประเทศไทย ไม่อยากอยู่ต่อ เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก

สกาย กล่าวว่า วันที่เกิดเรื่อง ตนมีเงินติดตัว 30,000 บาท ตอนที่ให้เงิน ทางตำรวจพาเดินไปที่มุมหนึ่งของด่านตรวจ จากนั้นให้ตนเองนับเงินให้เรียบร้อย และให้ในกลุ่มของตนมายืนบังมุมกล้อง เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย เจ้าหน้าที่เรียกแท็กซี่ให้และให้บอกแท็กซี่ว่าจะไปไหนต่อ

หลังผ่านเหตุการณ์นั้นมา ในกลุ่มไม่ค่อยอยากพูดคุยกันเพราะทุกคนยังเครียด แต่ยืนยันว่าไม่ได้เมาเหมือนที่มีคนออกมาพูด และพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่แล้ว ส่วนตัวคิดว่าเจ้าหน้าที่ต้องมีเหตุผล ถ้าอยากจับก็จะต้องมีเหตุผล ถ้าสงสัยอะไรก็ต้องพูดคุย แต่สิ่งที่เกิด ตำรวจไม่มีเหตุผลอะไร และบอกว่าต้องไปสถานีตำรวจอย่างเดียว ทำไมต้องทำแบบนี้

สำหรับเงินที่จ่ายไป สกายยืนยันว่าตำรวจกลุ่มนั้นแสดงท่าทีและพูดจาในลักษณะบีบบังคับให้จ่ายเงิน ตนเองไม่ได้เสนอให้ ทั้งนี้เงิน 30,000 บาท ที่จ่ายไป ตั้งใจว่าจะซื้อของฝากให้ครอบครัว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ เพราะตำรวจเหลือเงินให้ติดตัว 3,000 บาท

สกาย กล่าวว่า หลังจากกลับมา ในกลุ่มมีการพูดคุยกัน และคิดว่าถ้าตอนนั้นมีทางเลือกก็คงไม่ให้เงินแต่ให้ไป เพราะตำรวจจะพาไปที่สถานีตำรวจอย่างเดียว

ขณะเดียวกันนายชูวิทย์ ได้จัดทำแฟ้มรายชื่อพร้อมรูปภาพของตำรวจ สังกัดสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ห้วยขวาง มาจำนวนหนึ่ง และเปิดให้สกายดู 2 รูปภาพ แล้วถามว่า จดจำใครได้บ้าง

ซึ่งสกาย ดูรูปภาพตำรวจแล้ว ได้พยักหน้า พร้อมกับดูภาพตำรวจทั้ง 2 นาย

ต่อมาประมาณ 15.30 น. สกายออกจากการแถลง พร้อมกับที่ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์ในการสอบปากคำวันนี้ด้วย โดย พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า ขอเวลาขึ้นไปพบกับสกาย พยานสำคัญก่อน ซึ่งวันนี้ได้ให้คณะกรรมการและทีมพนักงานสอบสวน 4-5 นาย เข้ามาร่วมสอบปากคำพยานอย่างละเอียดและครอบคลุมทุกประเด็น