สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ว่า จากกรณีเครื่องบินโดยสารขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ใบพัดแบบ เอทีอาร์-72 ของสายการบินเยติ แอร์ไลน์ส พร้อมผู้โดยสาร 68 คน และลูกเรือ 4 คน ประสบเหตุตกในพื้นที่กลางหุบเขา เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติกาฐมาณฑุ ไปยังสนามบินในเมืองโปขระ ซึ่งเป็นพื้นที่หุบเขาและตั้งอยู่ทางตอนกลางของเนปาลนั้น


กองทัพเนปาลยืนยันการค้นพบร่างผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 68 ราย โดยเหลือการต้องค้นหาผู้สูญหายอีก 4 ราย ซึ่งภารกิจค้นหากลับมาเดินหน้าอีกครั้ง ในวันจันทร์ ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานตำรวจเมืองโปขระ ระบุว่า เครื่องบินตกในระยะที่ไม่ห่างจากสนามบินปลายทาง และลอยลำ “อยู่ในระดับปกติ” อีกทั้งทัศนวิสัยในช่วงเวลาเกิดเหตุ “แจ่มใส”


ด้านข้อมูลจากเว็บไซต์ Flightradar24.com ระบุว่า เครื่องบินลำดังกล่าวมีอายุการใช้งานผ่านมาแล้ว 15 ปี และยังคงติดตั้งระบบแบบเก่า


ขณะที่ สายการบินเยติ แอร์ไลน์ส ซึ่งมีเครื่องบิน เอทีอาร์-72 อยู่ในฝูงบินรวม 6 ลำ และให้บริการเฉพาะภายในประเทศ ออกแถลงการณ์ระงับให้บริการทุกเที่ยวบินตลอดทั้งวันจันทร์ที่ 16 ม.ค. เพื่อร่วมแสดงความไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งมีชาวต่างชาติรวมอยู่ด้วย 15 คน แบ่งเป็นชาวอินเดีย 5 คน ชาวรัสเซีย 4 คน ชาวเกาหลีใต้ 2 คน ชาวไอริช 1 คน ชาวออสเตรเลีย 1 คน ชาวฝรั่งเศส 1 คน และชาวอัฟกานิสถาน 1 คน ส่วนที่เหลือเป็นชาวเนปาล


ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลเนปาประกาศไว้อาลัยทั่วประเทศเป็นเวลา 1 วัน ในวันจันทร์ และตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อสอบสวนโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ซึ่งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2535 เมื่อเครื่องบินโดยสารแอร์บัส เอ-300 ของปากีสถาน อินเตอร์เนชั่นแนล แอร์ไลน์ส ตกในเขตกรุงกาฐมาณฑุ คร่าชีวิตผู้อยู่บนเครื่องทั้ง 167 ราย


ส่วน บริษัทเอทีอาร์ แอโรสเปซ ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องบินรุ่นเอทีอาร์ ประกาศแสดงความพร้อมร่วมให้การสอบสวน อนึ่ง เนปาลซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งของยอดเขาสูงสุดในโลก 8 จาก 14 อันดับ มีประวัติการเกิดอุบัติเหตทางอากาศยานบ่อยครั้ง นอกจากนี้ การที่มาตรฐานการบินพลเรือนของเนปาล “ต่ำมาก” ส่งผลให้สหภาพยุโรป ( อียู ) แบนสายการบินพาณิชย์ทุกแห่งของเนปาล ตั้งแต่ปี 2556.

เครดิตภาพ : REUTERS