นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยถึงการประกาศซื้อหุ้นของ บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) จากเอ็กซอนโมบิล และทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดว่า การลงทุนครั้งนี้ใช้วงเงินรวม 55,500 ล้านบาท ในการซื้อหุ้นทั้ง 100% โดยเบื้องต้นจะซื้อก่อน 65.99% จากนั้นจะซื้อเพิ่มเติมจากรายย่อยให้ครบ โดยสินทรัพย์ที่บางจากฯ จะได้รับ คือ โรงกลั่นน้ำมันกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน เครือข่ายคลังน้ำมันคิดเป็นปริมาณน้ำมันดิบ 7.4 ล้านบาร์เรล และสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศกว่า 700 แห่ง ทำให้บางจากฯ มีกำลังการกลั่นน้ำมันรวม 294,000 บาร์เรลต่อวันสูงสุดขึ้นอันดับ 1 ของไทย ทำให้ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นได้ครบวงจรมากขึ้น และทำให้มีเครือข่ายสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง และทั้งหมดนี้จะเปลี่ยนชื่อจากปั๊มเอสโซ่ เป็นปั๊มบางจาก ภายใน 2 ปี

ทั้งนี้ สถานีบริการน้ำมันภาพรวมทั่วประเทศมีประมาณ 20,000 แห่ง ทั้งใหญ่และเล็ก เมื่อทำการซื้อขายจบแล้ว บางจากฯ ยังมียอดขายน้ำมันเมื่อรวมกับเอสโซ่แล้ว เป็นอันดับ 2 เช่นเดิม ส่วนปริมาณปั๊ม เป็นอันดับ 3 เช่นเดิมเช่นกัน ไม่ได้เป็นการผูกขาดใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนแนวคิดการเพิ่มโรงกลั่นนั้น บางจากฯ มีแผนประมาณ 4 ปี ซึ่งเอสโซ่ มีความสามารถในการจัดหาน้ำมันดิบ และบริหารโรงกลั่นขนาดใหญ่ทั่วโลก ดังนั้น ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาโรงกลั่นบางจากฯ มากขึ้น ช่วยในเรื่องของการบริหารต้นทุนและทำให้ราค้ำมันในไทยไม่สูงมาก

“การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดการประหยัดเชิงขนาด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนของบริษัทคิดเป็น 1,500-2,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งของสัญญาที่ตกลงกันกับ เอ็กซอนโมบิลจะยังคงเก็บแบรนด์ไว้ เช่น น้ำมันเครื่อง เคมีภัณฑ์ต่าง ๆ ส่วนบางจากฯ จะได้สินทรัพย์ทั้งหมดของเอสโซ่ เช่น สถานีบริการน้ำมันกว่า 700 สถานี คาดว่าจะดำเนินการซื้อขายและชำระเงินค่าหุ้นแก่ผู้ขายได้ภายในครึ่งหลังของปี 66 โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อนที่กำหนด และเตรียมพร้อมทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด ของเอสโซ่ หลังจากการทำธุรกรรมกับเอ็กซอนเสร็จสิ้นและจะเริ่มทยอยเปลี่ยนชื่อปั๊มเป็นบางจาก ซึ่งช่วงแรกจะมีชื่อปั๊มเอสโซ่อยู่ ซึ่งเอสโซ่ก็จะทำหน้ที่จัดหาน้ำมันดิบให้บางจากด้วย” 

ทั้งนี้ บางจากฯ ยังคงเน้นในเรื่องของความมั่นคงด้านพลังงาน และตอบโจทย์ด้านความยั่งยืน ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ที่เพิ่มความยั่งยืนและเพิ่มการเข้าถึงพลังงานได้ง่ายขึ้น เชื่อมั่นว่าการทำธุรกรรมครั้งนี้ ถือเป็นการพลิกโฉมสู่บริบทใหม่สำหรับบางจากฯ และประเทศไทย

“เราตั้งต้นราคาซื้อขายที่ 55,500 ล้านบาท โดยเมื่อถึงวันที่ต้องจ่ายเงินหากมีการปรับสิ้นงวด ก็มีหนี้เพิ่มขึ้น ราคาก็จะลง แต่ถ้ามีน้ำมันเพิ่มขึ้น ราคาก็จะเพิ่ม เหตุผลที่มีกลไกปรับราคาเพราะราคาน้ำมันผันผวน ซึ่งในปีหนึ่งอาจราคาขึ้นถึง 110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือลงมาระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้ส่วนต่างจะอยู่ที่ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรบล ถือเป็นเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท ตามสูตรที่คำนวณ”

อย่างไรก็ตาม แม้เทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) กำลังมาแรง แต่บางจากฯ ยังคงซื้อโรงกลั่นนั้น จะเห็นว่าขณะนี้ยอดขายรถปีละ 8-9 แสนคัน ซึ่งรถอีวีอยู่ระดับ 3 หมื่นคัน ซึ่ง 99.9% ยังเป็นรถน้ำมัน ซึ่งยังไม่นับประชากรที่ใช้รถกว่า 10 ล้านคัน และมอเตอร์ไซค์อีก 10 ล้านคัน อีกทั้ง หลายประเทศได้เริ่มขาดน้ำมัน ถือเป็นภาวะตรึงตัวอยู่ บางจากฯ จะทำให้ผู้ใช้บริการได้เข้าถึงน้ำมันที่มีคุณภาพและราคาสมเหตุสมผล