เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) เเละในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดี นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว ภายหลังช่วงเช้าได้มีการประชุมคณะทำงานกำกับการสอบสวนและการดำเนินคดีสำคัญ โดยมี น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. นายสมเกียรติ คุววัฒนานนท์ รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงาน และคณะทำงานเข้าร่วมประชุม

นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า สืบเนื่องจากเดิมที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอให้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับผู้ต้องหารวม 25 หมาย สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 17 ราย จากนั้นในวันที่ 31 ธ.ค.65 ได้ขออนุมัติให้ศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 12 หมาย และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย ได้แก่ MR.FUJI ZING และ นายกฤติธี เหมหงส์ โดยเป็นความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน โดยการกระทำมีลักษณะเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ประเภท 2 ไว้ในครอบครอง และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน จํานวน 2 หมาย และความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน 10 หมาย และคณะทำงานฯ จะพิจารณาขยายผลการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดไป

ขณะที่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. กล่าวว่า สำหรับเรื่องที่นายชูวิทย์ ปล่อยคลิปต่างๆ และออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นระยะและมองว่าตำรวจทำสำนวนการสอบสวนอ่อนนั้น เรื่องนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความชัดเจนกับประชาชน เมื่อวานนี้ตนจึงได้ออกคำสั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ โดยให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ซึ่งมี พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน และทีมงานจเรระดับผู้บัญชาการ 2 ท่าน และมีผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และผู้บังคับการกองปราบปราม ได้เลื่อนไปเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทุกประเด็นเพื่อให้เกิดความกระจ่างต่อสังคมภายใน 15 วัน ต้องมารายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ตนประสงค์ขอเชิญผู้แทนอัยการประมาณ 2-3 ท่านเพื่อมาเป็นที่ปรึกษาในคณะนี้ด้วย

“ในคดีนี้ยังมีความเข้าใจผิดว่า ผบช.น. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน แต่ความจริงคือตั้งแต่ที่ ผบช.น.ทำหนังสือไปให้ทางอัยการสูงสุดพิจารณาเรื่องการกระทำความผิดของเครือข่ายนี้น่าจะเข้าข่ายเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เมื่อทางอัยการพิจารณาแล้วจึงได้มอบหมายให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 2 คณะเพื่อมากำกับการทำงาน โดยคณะแรก เป็นคณะทำงานเพื่อกำกับดูแลการทำงานโดยมีรองอัยการสูงสุด เป็นประธานและให้ ผบ.ตร. กับ อัยการสูงสุดเป็นที่ปรึกษา ส่วนอีกคณะหนึ่ง คือ เป็นคณะพนักงานสอบสวนที่ร่วมกันระหว่างอัยการกับตำรวจ ซึ่งให้ ผบ.ตร.เป็นผู้รับผิดชอบ ในการลงนามส่งสำนวนการสืบสวน

ส่วนเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยเหลือผู้ต้องหาหลบหนี ณ ตอนนี้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ไปแล้ว 3 ราย ได้แก่ พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา 2 ราย พนักงานกำกับจราจร สน.ลาดพร้าว 1 ราย และล่าสุดแจ้งข้อหา รองผู้บังคับการนครบาล 6 อีก 1 ราย ซึ่งดำเนินคดีอาญาไปหมดแล้ว และได้ส่งสำนวนไปที่ ป.ป.ช. แล้ว 3 ราย ส่วนอีก 1 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าว

ด้าน นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ได้มีการรวมสำนวนเป็นสำนวนเดียวจาก 5 สำนวน รวมสอบสวนเป็นสำนวนเดียวเพราะว่าเป็นพฤติการณ์ในการร่วมกันกระทำความผิด ส่วนการสอบสวนตอนนี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาการฝากขังผู้ต้องหา ซึ่งจะมีการครบกำหนดฝากขังคนแรกเร็วที่สุด คือ ครบฝากขังครั้งที่ 6 ในวันที่ 8 ม.ค.นี้ และในการฝากขังครั้งที่ 7 คือภายในวันที่ 20 ม.ค. ส่วนสำนวนการสอบสวนจะนำเสนอให้กับอัยการสูงสุดก่อนครบกำหนดระยะเวลาฝากขัง เพื่อให้ระหว่างเวลาที่มีเหลือท่านอัยการสูงสุดจะได้พิจารณาสำนวน

“สำหรับสำนวนการสอบสวนเมื่อทางพนักงานอัยการได้รับมอบหมายให้เข้าไปร่วมสอบสวนในคดีในตู้ห่าวนั้น ขั้นตอนแรกที่เราดำเนินการก็คือการนำสำนวนของพนักงานสอบสวนที่รวบรวมมาทั้งหมดมาตรวจสอบดูก่อนว่าสภาพสำนวนเป็นอย่างไรมีการสอบสวนอย่างไรบ้างแล้ว และจากการตรวจสอบสำนวนโดยละเอียดของพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานในแนวทางที่ถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์ดีทุกอย่าง และการสอบสวนของตำรวจยังมุ่งเน้นสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง แต่มุ่งเน้นสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทั้งหมดโดยสืบสวนหาว่ามีกลุ่มขบวนการใดบ้างร่วมอยู่ด้วย ถือว่าเป็นการทำสำนวนอย่างถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพนักงานอัยการได้เข้าไปดูก็ได้มีการเพิ่มเติมบางส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ให้ครบถ้วนจนสามารถออกหมายจับเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาได้ ถือว่าเป็นการอาศัยสำนวนหลักจากทางพนักงานสอบสวนที่ได้รวบรวมมา ดังนั้นที่บอกว่าสำนวนของตำรวจมีความไม่ครบถ้วนนั้น จริงๆ ครบถ้วนสมบูรณ์พอสมควร พนักงานอัยการไม่ต้องทำอะไรมากมายเพียงแต่มาหาจุดเชื่อมโยงในพยานหลักฐานเท่านั้นและพิจารณาออกหมายจับตามที่ปรากฏ” นายกุลธนิต กล่าว

ภายหลังจากเสร็จสิ้นการแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวได้สอบถามประเด็นเพิ่มเติมกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ถึงความพอใจในการทำงานของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. หลังจากที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ขอให้มีการปลด พล.ต.ท.ธิติ ออกจากตำแหน่ง ซึ่ง ผบ.ตร. ระบุว่า ต้องดูข้อเท็จจริงก่อน และให้ความเป็นธรรมกับ ผบช.น. ด้วย เพราะทั้งตนเองและ ผบช.น. ก็ยังทำงานกันยังไม่ได้หยุดเลยตั้งแต่ที่รับตำแหน่งมาซึ่งอยากให้มองมุมนี้ด้วย เนื่องจากตลอด 4 วันที่ผ่านมา ต้องทำงานด้วย และมาประชุมกับศูนย์อำนวยการสอบสวนในคดีนี้อีกด้วย

ส่วนกรณีที่ นายชูวิทย์ ได้เผยแพร่คลิปกล้องวงจรปิดของ สน.ยานนาวา ปรากฏภาพหญิงสาวรายหนึ่ง สวมเสื้อสีฟ้าหิ้วถุงกระดาษซึ่งภายในบรรจุเงิน 6 แสนบาท เพื่อขอไถ่รถหรูของกลางที่ถูกยึดจากผับจินหลิง โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ระบุว่า ต้องรอดูผลจากคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าใครผิดใครถูก ส่วนการแจ้งข้อหากับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้นจะต้องดูข้อเท็จจริงทุกอย่าง เพราะขณะนี้ก็ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว 4 นาย หากจะดำเนินคดีมากกว่านี้ ต้องรอการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป เพื่อไม่ให้เป็นการชี้นำ.