สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้า วันที่ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ได้เดินทางไปพบ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร เพื่อมอบรถกลุ่มงานศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ มูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท และยังได้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเที่ยงกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. โดยมีการเปิดเผยถึงคดีตู้ห่าว บางส่วนตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ร่วมโต๊ะบิ๊กตร.! ‘ชูวิทย์’ กินข้าวเคลียร์ ผบ.ตร.-บิ๊กโจ๊ก-บิ๊กต่อ ลั่นพอใจ ผบช.น. แถลงคดีตู้ห่าว

ความคืบหน้าช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่ โรงแรมเดอะเดวิส บางกอก ซอยสุขุมวิท 24 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดเผยว่า ทุนจีนสีเทาเริ่มมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และจบที่หน่วยงานใดบ้าง โดยหากย้อนไปตั้งแต่ที่ตนเปิดเผยเรื่องทุนจีนสีเทาเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนเก็บข้อมูลไว้นาน จนสังเกตเห็นถึงความผิดปกติเหล่านี้

นายชูวิทย์ อธิบายถึงจำนวนประชากรจีนที่เชื่อมโยงถึงกลุ่มจีนเทาว่า จำนวนประชากรจีนมี 1,400 ล้านคน ถ้ามี 5% ก็ 70 ล้านคน (ซึ่งเป็นคนจีนที่มีฐานะ) แล้วถ้ากล่าวว่าใน 1,400 ล้านคน คิดเป็นทุนจีนสีเทา 0.5% เท่ากับมี 7 ล้านคน แล้วต้องถามว่ากลุ่มพวกนี้ไปที่ไหน เพราะเขาต้องเลือกไปที่ที่มีระบบราชการอ่อนแอ เพราะสามารถไปก่ออาชญากรรม เช่น ยาเสพติด คอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ บ่อน เหล่านี้ได้ และธุรกิจประเภทนี้เป็นแหล่งเงินมหาศาล ดังนั้น กลุ่มจีนเทา 7 ล้านคนนี้จึงกระจายไปยังประเทศที่อยู่ติดกับประเทศจีน โดยกระจายไปประเทศละ 1 ล้านคน อาทิ เวียดนาม (เพราะชายแดนติดกัน) กัมพูชา สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ ส่วนที่เหลืออีก 3 ล้านคนจึงมาที่ประเทศไทย และตัวเลขจำนวนคนเหล่านี้ตนไม่ได้เดามั่ว สามารถเช็กได้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)

นายชูวิทย์ กล่าวด้วยว่า คนจีนบางคนไม่ได้ถือพาสปอร์ตจีน แต่ถือพาสปอร์ตประเทศวานูวาตู หรือประเทศมอลตา ซึ่งประเทศเหล่านี้ใช้เงินแค่ 5 แสนเหรียญ USD = 18 ล้านบาท เทียบเงินหยวนแค่ 4 ล้าน ทำให้กลุ่มคนจีนเหล่านี้มีเงิน 4 ล้านก็แปลงสัญชาติได้ แค่ไปลงทุนในประเทศเล็กๆก็ได้พาสปอร์ตเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย เข้าสู่ประเทศฟิลิปปินส์ เพราะมีระบบราชการที่อ่อนแอ มีคอร์รัปชั่นมากมายทำให้กลุ่มจีนเทาเหล่านี้ไล่ซื้อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และดำเนินการทำธุรกิจสีเทา จนผับจินหลิงกลายเป็นตัวปะทุที่ทำให้เราคนไทยได้เห็นระบบเลวร้ายนี้

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า วันนี้ที่ไปทานข้าวกับ ผบ.ตร. และ รอง ผบ.ตร. อยากบอกว่าที่ผับจินหลิงพิเศษกว่าที่อื่นก็เพราะมีการพบยาเสพติดจำนวนมากที่ฝากได้ ขายได้ ดังนั้น จะมีสถานบันเทิงแบบไหนที่มีการฝาก การขาย ลงในบิลได้ นี่จึงไม่ใช่สถานบริการ แต่เป็นสถานที่ที่มีการมั่วสุมยาเสพติด ส่วนกรณีที่เอายามมาแจ้งข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า เพราะเขามารับเซ็นว่าเป็นผู้ดูแลสถานที่ จนมาพบหลักฐานเพิ่มเติมทีหลังว่าไม่ใช่ผู้ดูแลสถานที่ จนยามรายนี้ได้รับการปล่อยตัวในภายหลัง และเอากลับมาเป็นพยาน ดังนั้น ตนอยากให้ลองไปตรวจสอบดูว่ายามรายนี้มาจากบริษัท รปภ. ใด และบริษัทของยามรายนี้มีใครเป็นผู้จ่ายเงินเดือน และยามคนนี้รับเงินเดือนจากบริษัท รปภ.จริงหรือไม่

นายชูวิทย์ ชี้ข้อสังเกตว่า หากย้อนไปดูจำนวนที่มีการจับกุมกลุ่มคนในผับจินหลิง 260 คน พบ 104 คน มีปัสสาวะสีม่วง ต่อมาพบเหลือเพียง 77 คน และหลังการตรวจปัสสาวะภายหลังอีกครั้งยังพบว่าหายไป 27 คน ตำรวจจะต้องสังเกตว่าสถานที่นี้ไม่ใช่สถานบริการ เพราะสถานบริการที่ไหนจะมียาเสพติดขนาดนี้ และมีจำนวนคนมีปัสสาวะสีม่วงขนาดนี้ และถ้าคำนวณ โดยเอาจำนวน 260-104 จะเหลือเพียง 156 คน ซึ่งในจำนวนนี้ปรากฏว่าตำรวจได้ปล่อยตัวไป ตนถือว่าเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง โดยปล่อยไปเพราะว่าตรวจปัสสาวะแล้วไม่ใช่สีม่วง แต่สถานบริการที่พบยาเสพติดจำนวนมากขนาดนี้มันควรปล่อยตัวไปหรือไม่ ทั้งนี้ ในวันเข้าจับกุม ผบช.น. เอากำลังทรัพยากรบุคคลไปกี่คนที่จะไปรับมือกับเหตุการณ์ตรงหน้า ตนมองว่าไม่มีการวางแผน และในจำนวน 156 คนนี้เอง ที่มีนายเดวิด ฮอว์ ซึ่งเขาไม่ได้หนีแต่อยู่ในกลุ่มนี้ สรุปคือ ตำรวจทิ้งพยานสำคัญไป

นายชูวิทย์ ยังกล่าวด้วยว่า การจะแต่งตั้งใครเป็นประธานกรรมการสอบสวนในเรื่องคดีนี้นั้น ผบช.น. ต้องเอานักสืบสวนสอบสวนมานั่ง แต่นี่กลับเอานายตำรวจยศพันตำรวจเอก ฝ่ายอำนวยการ ทำงานธุรการแผนกจัดซื้อจัดจ้างมาเป็นประธานสอบเรื่องสำคัญ มันไม่ใช่

นายชูวิทย์ ยังระบุด้วยว่า ระบบราชการที่อ่อนแอ ทำให้มีกลุ่มจีนเทา และมีด่านหน้าคือสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.) เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการต่ออายุวีซ่าได้ด้วยการเข้าเป็นสมาชิกในมูลนิธิผีของนายตู้ห่าว รวมถึงสมาคมเถื่อน ซึ่งขบวนการเหล่านี้ มันคือการเปิดรั้วบ้านปล่อยคนเลวเข้ามา หากคนจีนเทาคนไหนอยากอยู่ต่อก็หามูลนิธิฯอยู่ จากนั้นพอกลุ่มจีนเทาพวกนี้เข้ามา ก็ซื้อบ้านเกือบยกโครงการ ซื้อคอนโดเหมายกชั้น ซื้อที่ดินหลายพันไร่ แล้วก็เข้ามาทำธุรกิจผิดกฎหมายต่อเนื่อง และที่สำคัญคนจีนเทาเหล่านี้ก็ชักชวนคนจีนเทาอื่นๆเข้ามาเที่ยว มาเสพยาเสพติด มาเที่ยวผับในไทย ทำกันเป็นขบวนการ

นายชูวิทย์ อธิบายด้วยว่า ถ้าสังเกตดีๆมันจะมีหน่วยงานหนึ่งที่นอกจากตำรวจ แล้วไปจบยังชั้นอัยการ ศาล ที่หายไปจากระบบ ที่พอกลุ่มจีนเทามีการกระทำผิด แล้วถูกตำรวจจับกุมก็ต้องมาเคลียร์ที่นี่ ซึ่งก็คือสำนักงาน ปปง. แต่ตนขอตั้งชื่อให้ใหม่ ให้สอดคล้องกับชื่อของบิ๊กปปง.ท่านหนึ่ง ที่ได้เลื่อนขั้น และตนยังตั้งข้อสังเกตว่าคดีนายตู้ห่าวนั้น มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับสำนักงาน ปปง. แต่กลับเพิกเฉย ไม่ยอมตรวจสอบ กรณีที่ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาล ส่งจดหมายสอบถามไป 2 ครั้ง ยังไม่มีการตอบกลับ จึงตั้งข้อสังเกตต่อว่า อาจเป็นเพราะบิ๊กปปง. ที่มีความสนิทสนมกับนายตู้ห่าวและนายหม่า เครือข่ายธุรกิจสีเทาหรือไม่ จึงไม่ออกมาร่วมตรวจสอบในคดีดังกล่าว เพราะที่ผ่านมามีหลักฐานยืนยันว่า นายตู้ห่าวและนายหม่า ทั้งสองคนเคยไปที่สำนักงาน ปปง. อยู่บ่อยครั้งโดยขึ้นไปที่ชั้น 3 สังสรรค์ปาร์ตี้ ตนมีรูปถ่ายที่ปรากฏภาพนายตู้ห่าวหิ้วไวน์ขึ้นไป และมีหลักฐานว่าทั้ง 2 ฝ่ายเคยรับประทานอาหาร ดื่มกินร่วมกัน นอกจากนี้ ยังพบว่าบิ๊กปปง.คนดังกล่าวยังมีความร่ำรวยผิดปกติ เพราะสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศได้

นายชูวิทย์ ยังระบุถึงหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. และนายตู้ห่าว รวมทั้งนายหลินหลง ซึ่งพบว่ามีสติ๊กเกอร์หน่วยงานราชการแห่งหนึ่งของบิ๊ก ปปง. ไปติดที่บริเวณหน้ารถตู้ของนายหลิงหลง เครือข่ายกลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งมองว่าเป็นการกระทำไม่เหมาะสม และขอเรียกร้องให้คณะกรรมการ ปปง. ดังกล่าวลาออกยกคณะก่อนสิ้นปีนี้ โดยให้ลาออกตั้งแต่ประธานกรรมการ ปปง. รอง เลขาธิการ ปปง. เพื่อรับผิดชอบในคดีดังกล่าวเพราะจนถึงวันนี้ยังเพิกเฉย ไม่ดำเนินการตรวจสอบทั้งๆที่เป็นเรื่องการฟอกเงิน และถ้าคิดปฏิเสธความจริงดังกล่าวเดี๋ยวตนจะเอารูปภาพที่มีการชนแก้วไวน์มาเปิดเผย ทั้งนี้หลังจากนี้ ตนจะนำพยานหลักฐานไปร้องต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ร้องต่อสมาชิกวุฒิสภา และสำนักงาน ป.ป.ช. โดยจะเสนอตัวเองเป็นพยานสอบตนในฐานะพยาน เพื่อชี้เบาะแสการกระทำความผิด กระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ตนไม่เกรงกลัวหากจะถูกฟ้องร้องไล่หลังที่ออกมาแฉในเรื่องดังกล่าว เพราะตนเป็นประชาชนคนไทยที่จ่ายภาษีอากรให้หน่วยงานรัฐทำหน้าที่ฉะนั้นจะต้องซื่อสัตย์ เพราะหมายังซื่อสัตย์ต่อเรา.