เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ครั้งที่ 6 คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หมายเลขดำ อ.310/2556 ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ อดีต ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐจากเหตุรุนแรงทางการเมือง ปี 53 พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวนร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นร่วมกันเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตและเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 วรรคสอง

กรณีเมื่อระหว่างเดือน ก.ค. 54-13 ธ.ค. 55 จำเลยทั้งสี่ ในฐานะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้ตั้งข้อหากับโจทก์ทั้งสองสั่งฆ่าประชาชน และอื่นๆ ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ต้องรับโทษทางอาญา จากการที่ ศอฉ. ออกคำสั่งให้ใช้กำลังเจ้าหน้าที่กระชับพื้นที่การชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 53 ที่ชุมนุมขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

วันนี้ น.พ.เหวง โตจิราการ และนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำ นปช. มาให้กำลังใจและติดตามสถานการณ์

นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของฝ่ายโจทก์ กล่าวว่า วันนี้ครบ 1 ปีที่เลื่อนฟังคำพิพากษาแล้ว ไม่ทราบว่าวันนี้นายธาริตจะมาฟังคำพิพากษาหรือไม่ และยังต้องรอศาลอาญาพิจารณาว่าศาลฎีกาจะพิจารณาให้ญาติผู้ตายยื่นสำนวนเพิ่มได้หรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล

ต่อมา พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล จำเลย 2-4 พร้อมทนายเดินทางมาศาล ส่วน นายธาริต จำเลยที่ 1 ไม่มา

ต่อมาเวลา 12.15 น. ศาลอ่านรายงานกระบวนพิจารณา ทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า นายธาริต จำเลยที่ 1 เจ็บป่วยเป็นโรคนิ่วในไตทั้งด้านซ้ายและด้านขวา มีอาการปวดอักเสบรุนแรง มีเลือดออกมาพร้อมปัสสาวะ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัว ที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ด้วยการผ่าตัดนิ่วทั้งสองข้าง ใช้เวลารักษารวม 4 เดือน และจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่เป็นคดีหมายเลขดำที่ รฟ1/2565 คดีดังกล่าวอยู่ ระหว่างไต่สวน ซึ่งหากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดี อาจมีผลต่อการใช้ดุลพินิจในการ ลงโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ทั้งในคดีนี้ได้มีญาติของผู้เสียชีวิตบางรายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความ ฝ่ายที่ 3 แต่ยังอยู่ระหว่างระยะเวลายื่นคำคัดค้านคำร้องดังกล่าว ด้วยเหตุจำเป็นทั้งหมด จำเลยที่ 1 จึงขอเลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาออกไปสักนัด

สำเนาคำร้องให้คู่ความทุกฝ่ายแล้ว ทนายโจทก์ที่ 1 และทนายโจทก์ที่ 2 แถลงว่า คดีนี้มีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกามาแล้วหลายนัด ประกอบกับญาติของผู้เสียชีวิตซึ่งยื่น คำขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม สามารถยื่นคำร้องดังกล่าวเข้ามาในคดีได้ก่อนมีการอ่านคำ พิพากษาศาลฎีกาโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด เหตุการณ์ตามฟ้องมีผู้เสียชีวิตมากถึง 99 คน หากมีการยื่นคำร้องเข้ามาเรื่อยๆ อาจทำให้ต้องเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาไปอีกหลายนัด เนื่องจากคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาทำให้ศาลชั้นต้นไม่อาจสั่งคำร้องต่างๆที่ยื่นมาใน ระหว่างนี้ได้ เป็นเหตุให้คดีล่าช้า หากให้ศาลฎีกาเป็นผู้อ่านคำพิพากษาเองจะเป็นการสะดวกและ รวดเร็วยิ่งกว่า ส่วนอาการเจ็บป่วยของจำเลยที่ 1 ให้อยู่ในดุลพินิจของศาล

พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ยังมีคำร้องหลายฉบับที่อยู่ระหว่างระยะเวลายื่นคำคัดค้าน ศาลนี้จึงยังไม่ได้ดำเนินการส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่ง หากศาลฎีกามีคำสั่งประการใดอาจส่งผลต่อดุลพินิจในการทำคำพิพากษาคดีนี้ได้ กรณีมีเหตุจำเป็น ไม่อาจอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาไปในวันนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเร่งรัดคดีให้สามารถอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาได้โดยเร็ว จึงเห็นสมควรให้คู่ความทุกฝ่ายรับสำเนาคำร้องต่างๆ ในสำนวนไปในวันนี้ หากบุคคลใดประสงค์จะคัดค้านให้ยื่นคำคัดค้านต่อศาลภายในวันที่ 5 ม.ค. 66 หากไม่ยื่นภายใน กำหนดให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นอีก และให้เจ้าหน้าที่รวบรวมสำนวนพร้อมคำร้องทั้งหมดส่งศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งโดยเร็ว ส่วนคำร้องอื่นที่ยื่นมาหลังจากวันนี้ ให้รวบรวมส่งศาลฎีกาทั้งหมด โดยไม่ต้องสำเนาให้อีกฝ่ายคัดค้านก่อน และให้ศาลฎีกาเป็นผู้สอบคำคัดค้านพร้อมสั่งคำร้องดังกล่าวใน วันนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาในนัดหน้าผ่านระบบการประชุมทางจอภาพ ให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันที่ 2 ก.พ. 66 เวลา 09.00 น.

ภายหลัง นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความโจทก์ กล่าวว่า นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกาวันนี้ ปรากฏว่านายธาริต จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาอีกครั้ง อ้างว่าป่วยนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประกอบกับมีประเด็นญาติผู้ตายจากเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อปี 53 ยื่นคำร้องเข้ามาหลายราย ศาลจึงกำหนดมาตรการว่าใครจะยื่นคำร้องอะไรให้ยื่นเสร็จสิ้นภายในวันที่ 5 ม.ค. 66 หลังจากนั้นจะส่งไปยังศาลฎีกาพร้อมกับนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 2 ก.พ. 66 เวลา 09.00 น. นอกจากนี้ ศาลได้กำชับเรื่องอาการป่วยของ นายธาริต จำเลยที่ 1 ว่า ครั้งหน้าถ้ามีปัญหาแบบนี้อีก ศาลจะใช้ดุลพินิจและมีคำสั่ง ทำให้วันนี้จำเป็นต้องเลื่อนคำพิพากษาออกไปก่อน จึงยังไม่มีคำสั่งใดๆ

เมื่อถามว่า ฝ่ายโจทก์มีความกังวลว่าจำเลยที่ไม่มาศาลหลายครั้ง อาจจะหลบหนีหรือไม่ นายสวัสดิ์ กล่าวว่า เราไม่ได้ไปกังวล เพราะว่าคงเป็นเรื่องระหว่างจำเลยกับศาลมากกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสี่ โจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับเห็นว่าจำเลยทั้งสี่ กระทำผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสี่คนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา.