สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ว่า จากกรณี น.ส.ฮาทิซ เชนกิซ คู่หมั้นของนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าวและนักวิจารณ์รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เป็นโจทก์ร่วมกับองค์กรกลุ่มประชาธิปไตยสำหรับโลกอาหรับปัจจุบัน (ดอว์น) ฟ้องร้องเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี 2563 ว่า ทรงเป็นผู้บงการสังหารโหดคาช็อกกี ภายในสถานกงสุลใหญ่ซาอุดีอาระเบีย ที่เมืองอิสตันบูลของตุรกี เมื่อสองปีก่อนหน้านั้น คือเมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2561


ศาลรัฐบาลกลางสหรัฐในกรุงวอชิงตันมีคำพิพากษา เมื่อวันอังคาร ให้ยกฟ้องจำเลยจากข้อกล่าวหาทั้งหมด เนื่องจากเจ้าชายโมฮัมเหม็ด ทรงมีสิทธิคุ้มกันตามกฎหมายของซาอุดีอาระเบีย และกฎหมายระหว่างประเทศ ในฐานะทรงดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมาร และทรงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของรัฐบาลริยาด


ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ของศาลระบุว่า “ไม่มีอำนาจโต้แย้ง” คำชี้แจงของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ซึ่งยื่นต่อศาล เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเน้นย้ำว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ดจะทรงได้รับการยกเว้นจากการต้องทรงเผชิญกับกระบวนการยุติธรรมทุกระดับ ภายในขอบเขตอธิปไตยของสหรัฐ


อย่างไรก็ตาม ผู้พิพาษาจอห์น เบตส์ ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้ ยอมรับว่า “หลักฐานที่มีน้ำหนัก” ของฝ่ายโจทก์ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอย่างมาก ทว่า “ช่วงเวลา” ที่มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียทรงได้รับการแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน พระราชบิดา ให้ทรงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วยเอกสารชี้แจงของรัฐบาลวอชิงตัน “เป็นเรื่องน่าลำบากใจ”


ด้านสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำกรุงวอชิงตัน และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ยังไม่มีความเห็นอย่างเป็นทางการ ขณะที่เชนกิซ เคยออกมาประณาม และแสดงความผิดหวังต่อท่าทีของสหรัฐ ทั้งนี้ทั้งนั้น คดีการเสียชีวิตของคาช็อกกีส่งผลกระทบอย่างหนัก ต่อภาพลักษณ์ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับซาอุดีอาระเบีย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา.

เครดิตภาพ : REUTERS