เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี นางพัฒน์นรี กัลลา อายุ 53 ปี อยู่บ้านเลขที่ 128/31 หมู่ 2 ต.วัดประดู่ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี เข้าขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังพบว่าบัญชีธนาคารถูกอายัดและได้รับแจ้งจากธนาคารเจ้าของบัญชีว่า ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี อายัดบัญชี เนื่องจากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงทางออนไลน์

นางพัฒน์นรี กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ตนได้ใช้แอพพลิเคชั่นของธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อทำธุรกรรม แต่ปรากฏว่า บัญชีของตนถูกอายัด จึงได้เดินทางไปติดต่อที่สาขา ปรากฏว่าได้รับแจ้งจากพนักงานธนาคารว่า บัญชีธนาคารของตนถูกตำรวจ สภ.เพชรบุรี เป็นผู้แจ้งอายัด และเมื่อตนติดต่อไปยังตำรวจตามที่พนักงานธนาคารให้มา ตำรวจคนดังกล่าวอ้างว่าเป็นพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเพชรบุรี และแจ้งว่ามีผู้เสียหายเจ้าแจ้งความ หลังจากตกลงซื้อขายอุปกรณ์เบเกอรี่ แต่ตนไม่ส่งสินค้า และผู้เสียหายสูญเงินกว่า 5 หมื่นบาท และยังแจ้งให้ตนโอนเงินคืนเพื่อจบคดี ไม่ฉะนั้นตนจะต้องเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกง

นางพัฒน์นรี กล่าวด้วยว่า หลังทราบเรื่องตนตกใจมาก และเมื่อลำดับเหตุการณ์ ก็พบว่าขณะที่ตนเดินทางไปซื้อวัตถุดิบเพื่อทำไก่ทอดขายตามปกติที่ห้างขายส่งแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอเมือง เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยหลังจากที่ตนซื้อของเสร็จเรียบร้อย และกำลังเดินมาขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดไว้ที่ลานจอดรถ ก็ได้พบผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปมาในลักษณะร้อนรน และเข้ามาขอความช่วยเหลือจากตน โดยอ้างว่า มาซื้อวัตถุดิบในการทำขนมเบเกอรี่ในห้างขายส่งดังกล่าว แต่บัตร ATM ได้เกิดชำรุด ไม่สามารถกดเงินได้ และมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องใช้เงินจ่ายค่าสินค้า และขอให้ตนรับโอนเงินจากสามี ที่อ้างว่าอยู่ที่ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี แล้วเบิกเป็นเงินสด ให้เขานำไปจ่ายค่าสินค้าด้วยความสงสาร ตนจึงได้ตกลงรับปากและได้บอกหมายเลขบัญชีธนาคารของตนให้กับผู้หญิงคนดังกล่าว และรออยู่ประมาณ 20 นาที ก็พบว่ามีเงินจำนวน 54,000 บาท โอนเข้ามาในบัญชีของตน จึงได้ไปกดเป็นเงินสดให้กับหญิงสาวคนดังกล่าว

นางพัฒน์นรี กล่าวว่า แต่ขณะที่ตนกำลังจะเดินทางกลับ ผู้หญิงคนดังกล่าวแจ้งกับตนอีกว่า จะมียอดเงินโอนเข้ามาอีก 9,000 บาท ขอให้ตนรออยู่ก่อน เพื่อกดเงินจำนวนดังกล่าวให้ แต่เนื่องจากตนมีภารกิจต้องรีบกลับไปที่บ้านพักเพื่อเตรียมตัวขายไก่ทอดในวันรุ่งขึ้น จึงได้ปฏิเสธ แต่หญิงคนดังกล่าวแจ้งว่า ให้ตนเดินทางกลับบ้านไปก่อนได้ เมื่อมีเงินโอนเข้ามาจะแจ้งให้ทราบ จึงได้แลกหมายเลขโทรศัพท์กัน และเมื่อตนกลับมาถึงบ้านพักที่ ต.วัดประดู่ หญิงคนดังกล่าวก็โทรฯ เข้ามาในมือถือของตนเอง และแจ้งว่าเงินจำนวนเงินจำนวน 9,000 บาท ได้โอนเข้าบัญชีมาแล้ว ขอให้โอนกลับไปที่บัญชี ธนาคารกรุงเทพ เลขที่ 9800610751 ชื่อ เจ้าของบัญชี น.ส.กุลณัฐ โดยที่ตนไม่ทันได้ดูว่ามียอดเงินโอนเข้ามาเท่าไหร่ ก็ได้โอนเงินจำนวน 9,000 บาท ให้กับผู้หญิงคนดังกล่าว จนเมื่อตนมาดูรายการรับโอน ก็พบว่ามีเงินโอนเข้ามาในบัญชีเพียง 8,000 บาท จึงได้โทรฯ กลับไปที่หมายเลขของผู้หญิงคนดังกล่าว แต่ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้ ตอนนั้นรู้สึกเสียใจว่า ตนพลาดโอนเงินให้เกินไป 1,000 บาท เมื่อติดต่อไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าจะไปตามได้ที่ไหน จึงถือว่าเป็นการฟาดเคราะห์

“จนมาเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ตนต้องการทำธุรกรรม ก็พบว่าบัญชีของตนถูกอายัด ซึ่งตนไม่ได้เอะใจเลยว่า การที่ตนรับเงินโอนทั้ง 2 ครั้งของผู้หญิงคนดังกล่าว จะทำให้ตนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงการซื้อขายทางออนไลน์ ซึ่งมีผู้เสียหายแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองเพชรบุรี และตนยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักกับผู้หญิงคนดังกล่าวมาก่อน โดยหลังจากที่ตนได้เข้าขอความช่วยเหลือจากตำรวจ สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ในการช่วยสืบสวน และติดตามกล้องวงจรปิดเพื่อยืนยันว่า ตนไม่ได้รู้จักกับผู้หญิงคนดังกล่าว ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือเป็นอย่างดี โดยได้ประสานขอกล้องวงจรปิด จากห้างขายส่งดังกล่าว รวมถึงตรวจสอบบุคคลที่ตนโอนเงินไปให้ ซึ่งพบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคล ที่มีหมายจับเกี่ยวกับคดีฉ้อโกงอย่างน้อย 13 คดี และเป็นคนพื้นเพจังหวัดสุราษฎร์ธานี” นางพัฒน์นรี กล่าว

นางพัฒน์นรี กล่าวว่า จึงอยากขอเตือนไปยังทุกคนว่า อย่าทำธุรกรรมทางการเงินให้กับบุคคลแปลกหน้าโดยเด็ดขาด เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อย่างกรณีของตนเองทำไปด้วยความสงสาร แม้จะไม่ได้เสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก แต่ก็ทำให้เสียเวลาและกลายเป็นผู้ต้องหาด้วย