สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ว่า จากกรณีรัฐบาลโปแลนด์รายงาน มีการยิงขีปนาวุธลูกหนึ่งตกในพื้นที่ของหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ ห่างจากพรมแดนระหว่างโปแลนด์กับยูเครน ประมาณ 6 กิโลเมตร เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 ราย โดยขีปนาวุธลูกดังกล่าว เป็นอาวุธที่ “ผลิตในรัสเซีย” นั้น


นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ( นาโต ) กล่าวถึงเรื่องนี้ เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า “มีความเป็นไปได้สูงมาก” ที่เป็นผลจากการใช้ระบบป้องกันทางอากาศเอส-300 ของยูเครนในบริเวณนั้น “เพื่อป้องกันตัวเอง” จากการโจมตีทางทหารของรัสเซีย


อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ไม่ใช่ความผิดของยูเครน” เนื่องจาก “ไม่ใช่การโจมตีโดยเจตนา” ต่อโปแลนด์ ในทางกลับกัน “รัสเซียต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ” จากการเป็นฝ่ายเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีทางทหารในช่วงเวลาเกิดเหตุ และเป็นฝ่ายเปิดฉากสงครามครั้งนี้ ซึ่งยืดเยื้อตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา

ตำรวจโปแลนด์ลงพื้นที่หมู่บ้านใกล้ชายแดนติดกับยูเครน ซึ่งเป็นพื้นที่ขีปนาวุธตก


ด้านกระทรวงการต่างประเทศโปแลนด์ออกแถลงการณ์ว่า “ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปในเวลานี้” ที่ต้องขอให้นาโตจัดการประชุมฉุกเฉิน เกี่ยวกับการใช้อำนาจตามมาตรา 4 ของกฎบัตรนาโต ซึ่งคือการเปิดโอกาสให้สมาชิกหารือเกี่ยวกับความวิตกกังวล ในมิติด้านความมั่นคง ร่วมด้วยการเตรียมความพร้อมทางทหารที่เกี่ยวข้อง


ขณะที่กระทรวงกลาโหมของรัสเซียออกแถลงการณ์วิจารณ์โปแลนด์ “ตีโพยตีพายเกินกว่าเหตุ” และยังมีอีกหลายประเทศ “ผสมโรงโดยไม่คิดตรวจสอบความจริง” พร้อมทั้งยืนยันว่า ปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในฝั่งตะวันตกของยูเครน มีกฎว่าต้องห่างจากชายแดนของโปแลนด์ เป็นระยะทางไม่ต่ำกว่า 35 กิโลเมตร


ส่วน นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ชื่นชมสหรัฐ “มีความสมเหตุสมผล” อนึ่ง แหล่งข่าวด้านความมั่นคงของรัฐบาลวอชิงตันอย่างน้อย 3 คน กล่าวว่า ผลการประเมินเบื้องต้นโดยหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐ ระบุว่า กองทัพยูเครนยิงขีปนาวุธลูกดังกล่าว เพื่อสกัดกั้นความพยายามโจมตีทางอากาศของกองทัพรัสเซีย สอดคล้องกับที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ กล่าวเป็นนัยว่า แม้ขีปนาวุธลูกดังกล่าวผลิตในรัสเซีย “แต่ไม่จำเป็นเสมอไป” ว่า รัสเซียต้องเป็นผู้ยิงขีปนาวุธลูกนั้น.

เครดิตภาพ : REUTERS