เปิดใจคู่สามีภรรยาที่หลายคนต่างอิจฉาในการครองรักกันยาวนานถึง 18 ปี ของ ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ และ เอ๋-พรทิพย์ สกิดใจ แต่เบื้องหลังการชีวิตรักนี้ไม่ง่ายอย่างที่ใครคิด ทั้งคู่เคยถึงขั้นหย่าขาดกันมาแล้ว เพราะความบ้าอานาจ เผด็จการของคุณสามี จนในที่สุดก็กลับมาจดทะเบียนและปรับความเข้าใจกันอีกครั้ง พร้อมเปิดหมดเปลือกถึงความสัมพันธ์ที่ทั้งรักทั้งเกลียดในรายการ WOODY FM แบบจัดเต็ม

ป๋อ เผยว่า “ความรู้สึกของคนแต่งงานอยู่ในโหมดไหนเหรอ โหมดโคตรดี มันไม่ได้รู้สึกว่าว้าวนะ แต่เหมือนประคองไปด้วยกัน เดินกันไปสบายๆ บนถนนเส้นหนึ่งก็ชมก็ชมไม้ไปเรื่อย ไม่ได้หวือหวาอะไร แต่ก่อนที่จะมีเส้นนี้มันก็ธรรมดาที่จะต้องเจอเรื่องที่มันยากคือทะเลาะด้วยกันตลอดเวลาที่คบกันแล้ว อันนี้คือทะเลาะสามัญ แต่ทะเลาะในช่วงที่มีลูก เป็นทะเลาะที่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนทุกครั้งชนิดที่แบบเหมือนมีอะไรแปลกๆ เห็นแววตาที่เริ่มไม่ยอมแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้เอาสิ จะเป็นอารมณ์แบบเริ่มท้าทายเริ่มอะไรกัน ถ้าสำหรับที่ใหญ่ที่สุดของเราแล้วรู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้ คือมันเกลียด ไม่ชอบ เราไม่เคยรู้สึกแบบนี้ ลงมาจากบันไดก็เกลียดแล้ว ทำไมต้องแต่งตัวอย่างงี้ ทำไมต้องแบบฟึดฟัดด้วย ทำไมอยู่กันดีๆ ไม่ได้ ทำพูดอย่างนี้ก็จะไปอย่างนั้น เกลียดแบบคุณเคยรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดไหม คือไม่ได้เกลียดแบบว่าเราจะไปห้ำหั่นเขานะ แต่เราไม่ชอบเขาแบบนี้เลย 8 ปีที่ผ่านมาที่เคยจีบไม่ใช่ผู้หญิงแบบนี้นี่ ทำไมมันเปลี่ยนไป มีลูกมันต้องดีขึ้นสิ ความรับผิดชอบของการเป็นแม่ล่ะ ทำไมไม่พยายามที่จะสร้างให้มันดีกว่านี้ พอมันวนอยู่ในหัวแล้วมันตีกันเลยเกิดเป็นความชิงชัง สิ่งเหล่านี้มันวนอยู่ประมาณครึ่งปี ถึงขั้นคิดของเราแล้วว่า เราจะไปไหนต่อ ถ้าเกิดเราหย่าจริงๆ ต้องทำยังไง ทรัพย์สินยังไง เคยถามเพื่อนที่เป็นทนายด้วยว่าถ้ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ต้องทำยังไง คิดไปถึงนั่นแล้ว เอ๋เขาก็ไม่เคยรู้ วันหนึ่งเรียกกันมาคุยว่าถ้าเอ๋ทำแบบนี้ลูกก็ต้องไปอยู่กับเอ๋ไง เอ๋ก็ต้องไปมีสามีใหม่ ผมก็จะมีภรรยาใหม่ แล้วอยากได้แบบนั้นไหม ก็ได้นะ ก็ต้องเลือกว่าเอ๋อยากได้แบบนี้หรือเปล่า ตอนนั้นเลว คือเป็นคนเหมือนกับมีมุมที่จะต้องชนะเหมือนกันสำหรับเรานะ แล้วคนที่เราทำร้ายก็คือเขา”

“พฤติกรรมเขาที่เราไม่ชอบเอ๋ เขาจะเป็นคนดื้อเงียบ คือเขาจะเป็นคนไม่ทำตามแต่เขาจะไม่เถียง หรือจะมีภาษากายที่แสดงให้เราเห็นว่าฉันไม่ได้เชื่อเธอหรอก ยิ่งไม่เถียงเรายิ่งรู้สึกโกรธ นึกออกไหม เถียงซะดีกว่า คือเราเป็นคนที่ค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการด้วยแหละ เจ้าระเบียบ เจ้าวางแผน คนน่ารำคาญคนหนึ่งอ่ะเอาจริงๆ (หัวเราะ) ข้อดีคือเขารักเรา คือถ้าไม่รักเขาก็คงไม่เป็นแบบนี้ ไม่เจ้าระเบียบ เจ้ากี้เจ้าการ ทั้งหลายทั้งปวงคือเกิดจากความรัก ข้อดีคือเพื่อนสนิทที่รู้ใจเรามากที่สุด เวลาเรามีอะไรก็จะคุยกับเขา ก็จะบอกว่ามึงรู้ไหมว่าเป็นเอ๋เหนื่อยนะ กูเหนื่อยแทนเขาเกี่ยวกับมึง (หัวเราะ) ก็เข้าใจแหละเขาก็เหนื่อยกับเรา แต่เราก็พยายามไง ผมว่าความสัมพันธ์มันเป็นเรื่องของความพยายาม มันไม่มีใครเพอร์เฟกต์หรอก ไม่มีใครสมบูรณ์แบบมาแล้วเป็นจิ๊กซอว์ที่มันต่อกันพอดีเหมือนตามที่เราคุยกันในตอนงานแต่ง มันไม่ใช่ขนาดนั้น สุดท้ายมันต้องมาคอมพลีทกันเรื่อยๆ ต้องหาเวลามีต่อจิ๊กซอว์กันเรื่อยๆ”

“ลูกอยู่ในวัยช่างถาม แต่ผมว่าดี ทุกวันนี้ผมเล่นหมากรุกกับเขานะ เริ่มเป็นเพื่อนกัน จริงๆ แล้วคือช่วงที่เขาเด็ก เราเหมือนพ่อกับลูกยังต้องดูแลเขา แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีความเป็นเพื่อนกันเข้ามาหากันแล้วจริงๆ เริ่มสื่อสารกันในเชิงลึกมากขึ้น เป็นอีกมิติหนึ่งผมรู้สึกดีนะ คุยกันทุกเรื่อง ผมบอกว่าอย่างเดียวคือ อย่าโกหก ผมมักจะพูดกับเขาเสมอว่า นี่เป็นแด๊ดดี้ที่ไม่ได้เรื่องเลยนะทุกครั้ง ยูเห็นไหมที่ไอทำ บางทีไอก็โวยวาย บางทีไอก็ใช้น้ำเสียงกับยูไม่ดี ให้อภัยแด๊ดดี้ได้ไหม แล้วช่วยได้ไหมให้แด๊ดดี้เป็นคนที่ดีขึ้น เขาก็บอกว่าได้ แล้วอะไรที่ดีๆ ของแด๊ดดี้เอาไปใช้นะ แต่อะไรที่ไม่ดีจะบอกว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีของแด๊ดดี้ พ่อทำไม่ดีให้ลูกจำเอาไว้แล้วอย่าไปทำ เขาก็รับได้เพราะผมอยากให้เขาเห็นทุกอย่าง ไม่ให้เห็นโลกสวยงามแค่เพียงด้านเดียว”

เอ๋ เผยว่า “ช่วงขรุขระเป็นช่วงตอนที่มีลูกคนแรก เพราะเรายังไม่เคยมีลูกกันมาก่อน แล้วเราก็เลยรู้สึกว่าไม่รู้ว่าเราจะทำยังไง พอเกิดสถานการณ์แบบนี้แล้วเราจะต้องทำยังไงต่อไป เพราะเราเป็นพ่อแม่มีใหม่เราไม่รู้ ก็เกิดการทะเลาะกัน เพราะฉันคิดแบบนี้ เธอคิดแบบนี้ ทำไมไม่คิดแบบฉัน ทำไมไม่คิดแบบเธอ ทะเลาะจนคิดว่าต้องหยุดมีค่ะ อย่างที่พี่ป๋อเคยบอกว่าสายตามันเปลี่ยนไป สายตาที่เอ๋มองพี่ป๋อมันเริ่มมีความแบบฉันไม่อยากเจอหน้าผู้ชายคนนี้ ฉันเกลียดมันมีอารมณ์นั้นแว้บเข้ามา เขาบอกเอ๋เลยว่า พี่เกลียด พฤติกรรมเขาที่เราไม่ชอบความบ้าอำนาจ เผด็จการ เจ้าระเบียบ จุกจิก แล้วก็คิดเล็กคิดน้อย คือเขาจะเป็นผู้ชายที่หัวโบราณ เขาต้องคิดเสมอว่าในสิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขาว่าเป็นสิ่งที่เขาวางแผนแล้วก็ถูกต้องแล้ว เอ๋ไม่มีสิทธิที่จะมาเถียง เอ๋ก็เลยต้องเงียบ พอเงียบก็จะผิดว่าทำไมไม่พูด พอพูดก็ผิดว่าทำไมเถียง เอ๋กับลูกค่อนข้างสนิทกัน จะสนิทกับคนโตเพราะว่าเขาจะติดเอ๋ แต่คนที่ 2 จะติดพี่ป๋อ คือก่อนนอนมันต้องมีการคุยกันปิดไฟ ซึ่งพี่ป๋ออาจจะยังไม่เคยได้คุยกับน้อง เขาจะเล่าให้เอ๋ฟังทุกอย่างทุกเรื่อง อยากได้อะไร เพื่อนเป็นยังไง เสียใจอะไร จะค่อนข้างสนิทกับลูก”