สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ว่า สื่อท้องถิ่นหลายแห่งของรัสเซียรายงานว่า พล.อ.เซอร์เก ซูโรวิคิน ผู้บัญชาการกองทัพรัสเซียในยูเครน พบหารือกับพล.อ.เซอร์เก ชอยกู รมว.กระทรวงกลาโหมของรัสเซีย ที่สถานที่แห่งหนึ่ง และกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ว่าการสนับสนุนเมืองเคียร์ซอน ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ “เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป” และเสนอการตั้งแนวป้องกัน ตลอดแนวชายฝั่งตะวันออกของแม่น้ำดนีโปรหรือไนเปอร์
Here's Surovikin telling Shoigu about the Kherson retreat, which he says is to “preserve the lives of our troops and the combat readiness of our units […] the civilian population could be in danger and our group of forces on the right bank of the Dnipro could be isolated.” pic.twitter.com/ac1uGmWesV
— max seddon (@maxseddon) November 9, 2022
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2022/11/2022-11-09T162714Z_1_LYNXMPEIA80UN_RTROPTP_4_UKRAINE-CRISIS-RUSSIA-PULLOUT-1024x577.jpg)
ขณะที่พล.อ.ชอยกู “เห็นด้วย” พร้อมทั้งย้ำคำสั่งการเคลื่อนย้ายกำลังพลและสรรพาวุธออกจากเมืองเคียร์ซอน ผ่านเส้นทางตามแนวชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำดนีโปร โดยให้คำนึงถึงความปลอดภัยของทหารทุกนายเป็นสำคัญที่สุด แต่ในเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องตื่นตัวต่อ “แนวโน้มของการคุกคาม” ในพื้นที่ต่อไปด้วย
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2022/11/2022-11-09T172143Z_1659406653_RC2CIX9EQ8YV_RTRMADP_3_UKRAINE-CRISIS-KHERSON-REGION.jpg)
แม้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว “บ่งชี้ว่ารัสเซียกำลังมีปัญหาอย่างแท้จริง” อย่างไรก็ตาม นายโอเล็กซี อเรสโตวิช หนึ่งในที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า รัฐบาลเคียฟ “ยังไม่เชื่อ” เนื่องจากข้อมูลการข่าวในสมรภูมิระบุว่า กองทัพรัสเซียยังคงเดินหน้าเสริมกำลังในเมืองเคียร์ซอน จึงมีความเป็นไปได้ว่า อาจเป็นเพียงการสับเปลี่ยนกำลังพลเท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่ง พล.อ. มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐ ประมาณการว่า กองทัพรัสเซียสูญเสียทหารไปแล้วมากกว่า 100,000 นายในยูเครน นับตั้งแต่สงครามปะทุเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา ส่วนสถานการณ์ของยูเครน “ไม่น่าต่างกัน” ยิ่งไปกว่านั้น พลเมืองยูเครนเสียชีวิตในสงครามครั้งนี้ไปแล้วประมาณ 40,000 ราย.
เครดิตภาพ : REUTERS