จากกรณีที่นายสมศักดิ์  เทพสุทิน ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนยอมรับว่า มีนายทุนจีนที่อาจแปลงสัญชาติเป็นไทย บริจาคเงินเข้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เมื่อปี 2564 เป็นจำนวน 3 ล้านบาท โดยมีหลักฐานปรากฏในเอกสาร กกต. เป็นที่รับรู้กันโดยกว้างขวางแล้วนั้น เป็นการฝ่าฝืน ม.44 ม.72 และหรือ ม.74 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 หรือไม่

ทั้งนี้ บุคคลดังกล่าวปรากฏเป็นข่าวหลังกรณีตำรวจบุกเข้าตรวจค้นสถานบันเทิงจินหลิง ย่านยานนาวา ที่ลักลอบเปิดโดยไม่ได้รับอนุญาต และพบยาเสพติดหลากหลายรายการ อาทิ ยาเค, ยาแฮปปี้วอลเตอร์, ไฟว์ ไฟว์ รวมทั้งรถหรูอีกมากมาย ซึ่งบุคคลดังกล่าวยังเป็นหุ้นส่วนในบริษัทต่าง ๆ อีกหลายบริษัท ซึ่งบริษัทต่าง ๆ เหล่านั้น มีนอมินีถือหุ้นแทนต่างด้าวหรือไม่ อย่างไร เพราะอาจเกี่ยวพันและเชื่อมโยงต่อการบริจาคเงินให้กับพรรคการเมืองที่ปรากฏเป็นข่าวได้ ที่สำคัญบุคคลดังกล่าวแม้จะโอนสัญชาติเป็นไทยแล้วก็ตาม แต่ได้สละสัญชาติเดิมของตนแล้วหรือไม่ หรือยังคงถือ 2 สัญชาติอยู่ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 28 ต.ค. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ถ้า กกต. รู้ร้อนรู้หนาว เกี่ยวกับกรณีเงินบริจาค 3 ล้านของ พปชร. ที่อาจจะเชื่อมโยงกับธุรกิจผิดกฎหมาย หรือ ผู้บริจาคอาจเป็นคนต่างชาติ

1. กกต. สามารถสั่งการให้นายทะเบียนพรรคการเมือง คือ เลขาธิการ กกต. สอบข้อเท็จจริง ได้ทันที โดยไม่ต้องมีผู้ร้อง

2. นายทะเบียนพรรคการเมือง สามารถตรวจหลักฐานเงินบริจาคของพรรคการเมืองได้  และขอตรวจสอบสัญชาติผู้บริจาคจากกระทรวงมหาดไทย  และขอตรวจสอบเส้นทางทางการเงินจาก ปปง.

3. หากพบการกระทำผิดกฎหมาย ตามมาตรา 72 (รับเงินสีเทา) มาตรา 74 (รับเงินต่างชาติ) นายทะเบียนสามารถนำเรื่องเข้าที่ประชุม กกต. เพื่อมีมติ ส่งศาลรัฐธรรมนูญ

4. หากศาลรัฐธรรมนูญ เห็นด้วย สามารถมีคำวินิจฉัยยุบพรรค และตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตแก่กรรมการบริหารพรรคที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาดังกล่าวได้ ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 92

5. หาก กกต. ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก็ 157 และร้อง ป.ป.ช. ประเด็นจริยธรรมได้