เมื่อวันที่ 18 ต.ค. การเพาะเลี้ยงปลากระชังของเกษตรกรที่ปักหลักเลี้ยงกันบริเวณแม่น้ำแควน้อย ต.เกาะสำโรง และ ต.ใกล้เคียง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี กว่า 150 ราย ที่มีจำนวนกระชังมากกว่า 10,000 กระชัง พบว่าขณะนี้กำลังประสบปัญหาปลาน็อกตายเป็นจำนวนมาก เกษตรกรหลายรายเกิดความเสียหายปลาน็อกตายเฉลี่ยรายละ 5-10 ตัน ซึ่งจากการประเมินปริมาณปลาที่ตายของผู้เลี้ยงทุกรายรวมกันมีมากถึง 500 ตัน และปลายังคงทยอยตายเพิ่มเรื่อยๆ ทุกวัน ซึ่งยังไม่นับถึงปลาที่หลุดออกไปเพราะกระชังพังก็มีอีกจำนวนมากเช่นกัน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานใดยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ

นายคมเพชร รอดปรีชา ประธานชมรมผู้เลี้ยงปลากระชังลุ่มน้ำภาคกลาง กล่าวว่า จากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นขณะนี้เกษตรกรที่เลี้ยงปลากระชังกำลังเดือนร้อนอย่างหนัก เนื่องจากปลาน็อกตายจำนวนมาก โดยปลากระชังที่ตนและกลุ่มเพื่อนเกษตรกรเลี้ยงทั้งหมดเป็นปลาทับทิม ซึ่งน้ำท่วมในครั้งนี้มันเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี เพราะที่ผ่านมาในช่วงฤดูฝน แม่น้ำสายนี้มักจะเกิดน้ำหลากท่วมทุกปีอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมาผลกระทบเกิดความเสียหายไม่เท่ากับครั้งนี้ โดยครั้งที่ผ่านๆ มาอาจได้รับผลกระทบแค่เกษตรกรบางรายของผู้เลี้ยง แต่ครั้งนี้ได้รับความเสียหายตั้งแต่หัวน้ำยั้นท้ายน้ำ ในบางรายได้รับความเสียหายเกือบ 100%

ในจังหวัดกาญจนบุรีถือได้ว่าเป็นแหล่งเลี้ยงปลาและส่งออกขายที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของประเทศ มีกำลังการผลิตต่อเดือนอยู่ที่ประมาณกว่า 1,000 ตัน และต่อปีไม่ต่ำกว่า 10,000 ตัน โดยราคาส่งขายเฉลี่ยจะอยู่ราวๆ 70 บาท/กก. คิดเป็นมูลค่ารวมต่อปีราวๆ 700-800 ล้านบาท ที่เป็นเม็ดเงินที่เข้ามาสู่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาใน จ.กาญจนบุรี

“ฝากวิงวอนในฐานะตัวแทนเกษตรกรไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอให้เข้ามาดูแลเราบ้าง ในทุกๆ ครั้งที่เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมนั้น พวกเราไม่เคยที่จะขอความช่วยเหลือใดๆ เลย เพราะคิดว่าพวกเราชาวเกษตรกรที่เลี้ยงปลานี้ยังพอที่จะช่วยตัวเองได้ แต่ครั้งนี้มันรุนแรงเกินที่จะรับไหวจริงๆ มันเป็นตัวเลขที่มหาศาลมากเกินที่เราชาวเกษตรกรผู้เลี้ยงปลาจะรับกันไหว” นายคมเพชร กล่าว