เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เผชิญกับข่าวเศร้า ที่เป็นโศกนาฎกรรมสุดสะเทือนใจของใครหลายๆ คน สำหรับ อดีตสิบตำรวจเอก ก่อเหตุกราดยิงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ จ.หนองบัวลำภู จนมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตเบื้องต้น 37 ศพ

แต่หากย้อนไปดูเหตุการณ์โศกนาฏกรรมก่อนหน้านี้ ก็คงบอกได้เลยว่า นี่..ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ก่อเหตุเป็นถึงผู้ที่ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลประชาชน แต่กลับเคยเกิดเหตุ “กราดยิง” ถึง 3 ครั้งก่อนหน้า ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น

จ่าคลั่งกราดยิงโคราช
ย้อนไปเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 63 ชาวไทยก็ต้องช็อกไปตามๆ กัน หลัง จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา อายุ 32 ปี ทหารหน่วยกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ จ.นครราชสีมา ได้ใช้อาวุธสงครามไล่กราดยิงประชาชน จากวันที่ 8 ก.พ. จนต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 9 ก.พ. 63 มีทั้งตำรวจ ชาวบ้าน เด็กนักเรียน ผู้หญิง ที่ตกเป็นเหยื่อคมกระสุน ก่อนที่จะขับรถฮัมวี่หนีไปเข้าห้างเทอร์มินอล 21 โคราช จากนั้นก็ตัดสินใจยิงถังแก๊สวางเพลิงในห้างจนไฟลุกท่วมรุนแรง และกราดยิงผู้คนไปทั่ว ต่างแตกตื่นหนีตายอุตลุด ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 30 ราย และได้รับบาดเจ็บจำนวน 58 ราย
-ไทม์ไลน์เหตุการณ์สั่นประสาท จ่าคลั่งกราดยิงถล่มโคราช

โดยชนวนเหตุของการกราดยิง ข้อมูลจากการสอบสวนของตำรวจสันนิษฐานว่า เหตุรุนแรงครั้งนี้ มีที่มาจากข้อพิพาทเรื่องเงินและการซื้อขายบ้าน ที่ผู้ก่อเหตุซื้อจากนายหน้า และตกลงกันไม่ได้ จึงได้ก่อเหตุดังกล่าว รวมทั้งคำยืนยันจาก พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ในขณะนั้น) ที่ระบุว่า ทหารผู้ก่อเหตุ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ” จากการซื้อขายที่ดินและผิดสัญญากันในเรื่องผลตอบแทน

โดยขบวนการดังกล่าวคือ เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรที่เป็นเครือญาติของนายทหาร นำโครงการมาเสนอขายให้ทหารชั้นผู้น้อยในราคาถูก พร้อมกับจัดหาเจ้าหน้าที่ที่ดูแลด้านการอนุมัติเงินกู้ของกรมสวัสดิการทหารบก มาประเมินราคาบ้านให้สูงกว่าความเป็นจริง เพื่อขออนุมัติเงินกู้ในวงเงินที่สูง ๆ นอกจากนี้ ยังมีผู้บังคับบัญชาที่เซ็นหนังสือรับรองเพื่อให้การอนุมัติเงินกู้ง่ายขึ้น จนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้น

กราดยิงโรงพยาบาลสนาม
หลังจากผ่านมาไม่ถึงปี ก็ต้องเกิดโศกนาฏกรรมอีกครั้ง ในวันที่ 24 มิ.ย. 64 ที่เกิดเหตุคนร้ายแต่งชุดลายพรางคล้ายทหาร สวมหมวกเบเรต์สีแดง บุกยิงพนักงานร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ปากซอยลาดพร้าว 25 แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร​ จนพนักงานคนดังกล่าวเสียชีวิต จากนั้นคนร้ายได้ก่อเหตุยิงที่ รพ.สนาม ภายในสถาบันธัญญารักษ์ ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ส่งผลให้มีผู้ป่วยโควิด-19 เป็นชายอายุ 54 ปี เสียชีวิต 1 คน โดยภายหลังพบว่าผู้ก่อเหตุชื่อ นายกวิน อายุ 23 ปี ชาวจังหวัดปทุมธานี ไม่ใช่กำลังพลของกองทัพบก แต่เคยเป็นทหารเกณฑ์ที่หน่วยรบพิเศษป่าหวาย จ.ลพบุรี เคยได้รับการฝึกฝนการใช้อาวุธปืนมาเป็นอย่างดี แต่ปลดประจำการไปแล้วตั้งแต่ปี 2562
-ช็อก!ยิงถล่มรพ.สนาม-ยิงพนง.เซเว่น คนร้ายคนเดียวกัน

สำหรับมูลเหตุของการกราดยิง รพ.สนาม คนร้ายสารภาพว่า เหตุที่ยิงพนักงานร้านสะดวกซื้อ เนื่องจากตนทำขวดเบียร์แตก พนักงานจึงให้จ่ายเงินเพิ่ม แต่ตนได้บอกกับพนักงานว่า “ขอได้มั้ย” แต่พนักงานยืนยันว่าต้องจ่าย ตนจึงความโมโห จึงได้ใช้อาวุธปืน .38 เท่าที่จำได้ยิงไป 5-6 นัด จากนั้นจึงได้ขับรถออกมา ซึ่งตอนยิงพนักงานเซเว่น ยิงที่ด้านหลังตนรู้สึกผิดแล้ว เพราะนอกจากใช้อาวุธยิงจนเสียชีวิตแล้ว ยังได้ใช้เท้ากระทืบผู้เสียชีวิตอีก ทำให้เลือดของผู้เสียชีวิต ติดที่พื้นรองเท้า

หลังจากที่ก่อเหตุที่ร้านยิงพนักงานร้านเซเว่นแล้ว ได้ขับรถมาที่โรงพยาบาลสนาม จ.ปทุมธานี เพราะเห็นว่าเป็นศูนย์บำบัดผู้ป่วยเสพยาเสพติด พร้อมอ้างว่าเคยถูกคนเสพยาทำร้ายร่างกาย จึงรู้สึกคับแค้นใจ เมื่อเข้าไปถึงโรงพยาบาลสนาม พบผู้ป่วยโควิด-19 เป็นชาย เดินออกมาจากห้องน้ำ จึงสอบถามไปว่า เสพยาหรือเปล่า แต่ยังไม่ทันที่จะได้คำตอบ นายกวิน ก็ใช้อาวุธปืน ยิงใส่ผู้ป่วยโควิด-19 ล้มลงเสียชีวิต โดยภายหลังก็ถูกจับกุมตัวได้ที่ จ.ระนอง ได้ในที่สุด

กราดยิงวิทยาลัยการทัพบก
เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 64 เกิดเหตุ จ.ส.อ.ยงยุทธ มังกรกิม อายุ 58 ปี เจ้าหน้าที่เสมียน สังกัด วทบ. ที่มีอาการคลุ้มคลั่ง ได้ยิงเพื่อนทหารดับ 2 ศพ และเจ็บสาหัสอีก 1 ราย โดยภายหลัง ผู้ก่อเหตุสารภาพจะมาก่อเหตุยิงนายทหารสัญญาบัตรให้ครบ 10 ศพ แต่ไม่มีใครอยู่ เนื่องจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง อาจารย์ประจำ รวมถึงเจ้าหน้าที่ ติดภารกิจอบรมสัมมนาที่ จ.เพชรบุรี จึงทำการยิงจ่าเพื่อนทหารแทน

ภายหลัง ทางหน่วยต้นสังกัดได้ให้ข้อมูลว่า อาจจะเกิดจากความเครียดและปัญหาทางสุขภาพของผู้ก่อเหตุ ส่วนความสัมพันธ์ของผู้ก่อเหตุกับเหยื่อ ชี้แจงว่า หากดูจากพฤติกรรมการก่อเหตุ มีลักษณะว่าเมื่อเจอใครก็จะดำเนินการ ไม่ได้มีลักษณะของการทะเลาะเบาะแว้ง ซึ่งอาจจะเป็นในด้านของสภาพจิตใจของผู้ก่อเหตุมากกว่า ที่อาจจะมีสาเหตุมาจากสุขภาพร่างกายของเขา
-เปิดนาทีสังหารโหด! ‘จ่าคลั่ง’ เลือดเย็นพกกระสุนเกือบ100นัด ไล่ยิงเพื่อนจนหมดแมก

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า สาเหตุที่ จ.ส.อ.ยงยุทธ กราดยิงเพื่อนร่วมงานนั้น มาจากปัญหาความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และอีกหลายสาเหตุ ประกอบกับ จ.ส.อ.ยงยุทธ มีปัญหาสมองได้รับกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุในระหว่างเดินทางไปฝึกอบรมหลักสูตรเลื่อนขั้นของกองทัพ นอกจากนี้ ยังมีบางกระแสระบุว่า มีภาวะความเครียดจนส่งผลกระทบต่อจิตใจ ของ จ.ส.อ.ยงยุทธ อย่างหนัก จากกรณีถูกเสนอชื่อย้ายออกจากหน่วยอีกด้วย

กราดยิงหนองบัวลำภู
และภายในระยะเวลาเพียงไม่ถึงเดือน หลังเกิดเหตุ “กราดยิงวิทยาลัยการทัพบก” ชาวไทยก็ต้องพบเจอกับเหตุกราดยิงที่เป็นอีกโศกนาฏกรรมขึ้นอีกครั้ง หลังเมื่อวันที่ 6 ต.ค. 65 นายปัญญา คำราบ หรือ แมน อายุ 34 ปี อดีตตำรวจ ยศ “ส.ต.อ.” ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป.) สภ.นาวัง จ.หนองบัวลำภู ถูกไล่ออกจากราชการในคดียาเสพติด ได้ลงมือใช้มีด และอาวุธปืนประทุษร้ายในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตำบลอุทัยสวรรค์ หมู่ที่ 6 บ้านห้วยนาหลวง โดยในขณะนั้นเป็นช่วงพักกลางวันและเด็กกำลังนอนหลับอยู่ภายใต้การดูแลของครูพี่เลี้ยง 6 คน ผู้ก่อเหตุใช้มีดฟันครูพี่เลี้ยงที่เห็นเหตุการณ์และพยายามปิดประตูแต่ไม่สำเร็จ เสียชีวิต ผู้ก่อเหตุใช้ปืนกราดยิงต่อภายในศูนย์ฯ

หลังจากนั้น คนร้ายได้ขับรถยนต์หลบหนี รวมกินพื้นที่ 4 หมู่บ้าน ระหว่างทางก็ยิงผู้อื่นถึงแก่ความตายไปหลายคน ทางการตำรวจได้ส่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ และอรินทราช 26 ไปยังพื้นที่เกิดเหตุ สุดท้ายผู้ก่อเหตุฆ่าภรรยา บุตรของภรรยากับอดีตสามี และฆ่าตัวตายตาม
-เปิดไทม์ไลน์โศกนาฏกรรม “ไอ้แมน” อดีต ตร.คลั่ง! กราดยิงหนองบัวลำภู

หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 38 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กเล็ก 22 คน และหนึ่งในผู้เสียชีวิต ยังพบด้วยว่ามีคุณครูท่านหนึ่ง กำลังตั้งครรภ์ถึง 8 เดือนแล้ว

แม้สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว จะยังไม่สามารถล่วงรู้มูลเหตุจูงใจของผู้ก่อเหตุ ว่าเหตุใดถึงลงมือปลิดชีพผู้บริสุทธิ์ที่เป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่กำลังนอนหลับอย่างเป็นสุข ไม่มีทางที่จะลุกขึ้นมาทำร้ายใครๆ ได้

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น เป็นโศกนาฏกรรมสั่นสะเทือนใจคนไทยอย่างที่สุด อีกทั้งภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับความสูญเสีย อันเกิดจาก “ทหาร-ตำรวจ”.. อาชีพของคนที่ต้องปกป้องประชาชน จนสังคมต่างตั้งคำถาม ว่า นี่หรือ.. ผู้พิทักษ์ประชาชน..