สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ว่า ศ.เซอร์ แอนดรูว์ พอลลาร์ด หัวหน้าคณะทำงานด้านวัคซีนของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งทำหน้าทดสอบทางคลินิกของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด พัฒนาร่วมกับบริษัทแอสตราเซเนกา กล่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่สาม หรือบูสเตอร์ ควรดำเนินการตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
ขณะเดียวกัน ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เกี่ยวกับการป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล และการเสียชีวิต "ในระดับมีนัยสำคัญ" กับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว หรือที่เรียกกันว่า "เบรคธรู เคส" ( breakthrough case ) หมายถึงการยังคงติดเชื้อหลังการได้รับวัคซีน
ศ.พอลลาร์ดกล่าวต่อไปว่า ประชาชนยังไม่ควรตื่นตระหนกในเวลานี้ และยืนยันว่า เมื่อใดก็ตามที่มีการยืนยัน "ประสิทธิภาพที่ลดลงอย่างชัดเจน" ของวัคซีน เมื่อนั้นจะเป็นเวลาที่ผู้พัฒนาวัคซีนสามารถตอบสนองกับเรื่องนี้ "ได้อย่างมีประสิทธิภาพ" สื่อว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องศึกษาอย่างละเอียด และจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
ขณะที่บริษัทแอสตราเซเนกาออกแถลงการณ์ว่า กำลังรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อการวิเคราะห์ตามหลักวิทยาศาสตร์ ว่าการฉีดบูสเตอร์มีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นท่าทีที่แตกต่างจากไฟเซอร์อย่างชัดเจน โดยผู้ผลิตฝั่งสหรัฐยืนยันว่า การฉีดบูสเตอร์ "มีความจำเป็น" เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์
สำหรับการให้ความเห็นดังกล่าวของ ศ.พอลลาร์ด เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน มีแผนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่สามให้แก่ประชาชนในสหราชอาณาจักร นับตั้งแต่เดือน ก.ย.นี้เป็นต้นไป ซึ่ง ศ.พอลลาร์ดกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า วัคซีนที่เตรียมไว้เพื่อการนี้ ควรมอบให้กับประเทศที่ยังคงขาดแคลน และย้ำว่า มีความเป็นไปได้น้อยมาก ที่ระบบสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรจะล่มสลายเพราะโรคนี้ ในเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนแล้ว.
เครดิตภาพ : AP